วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไปเที่ยว เชียงคาน กันดีกว่า

ไป เชียงคานกันไหม ?


ไม่ได้มีใครถาม ไม่ได้มีใครชวนหรอก แต่โน้ตไว้ในไดอะรี่ แปะวันเวลาไว้กับปฏิทิน ตกลงกับตัวเองว่า...ตั้งใจจะไปไหนสักแห่ง...ในมุมเงียบ ไม่วุ่นวายสักสามสี่วัน จะว่าไปแล้ว เป็นผู้หญิงก็ยุ่งยากมากหน่อยกับการเดินทางแบกเป้ เดินเดี่ยว ขาดบอดี้การ์ดประชิดตัว แต่ เรื่องใจ..ไม่ต้องห่วง !!!ใจใครก็ใจใคร...

คนเราออกเดินทางด้วยเหตุผลต่างๆ กัน ...ผจญภัย ...พบเจอ...สังสรรค์... ผ่อนพัก..หยุดนิ่ง..และทบทวน บางทีนั่นก็เป็นความสุขแล้วสำหรับคนบางคนกับปลายฝนต้นหนาวท้ายปีในเดือนหมอกห่มคลุม ออกจากสังคมเมืองวุ่น เอ็มพี 3 เพื่อนคู่หู ทำงานตั้งแต่ รถประจำทางออกเคลื่อน หลับๆ ตื่นในห้วงฟ้ามืด กว่า 8 ชม. ก็ถึง...เชียงคาน อำเภอเล็กๆ ติดชายแดนไทย-ลาว เลียบลำน้ำโขง อีกหนึ่งอำเภอของจังหวัดเลย

ความช้า ง่ายๆ ไร้พิธีรีตอง ผู้คนไม่ขวักไขว่ ร้านรวงบ้านช่องยังคงดิบเดิม บ้างเป็นไม้ทั้งหลัง ประตูบานเฟี้ยม เก้าอี้แคร่ตัวย่อมวางอยู่หน้าบ้านเหมือนๆ กัน เรื่อยเดินไปถึงริมฝั่งโขง


สิ่งที่อยู่ปรากฏตรงหน้า ทำเอาสะกดใจซะอยู่หมัด ให้ตาย!! นั่นมันหมอกใช่มั้ยนะ ? หันรีหันขวางสำรวจรอบๆ ให้แน่ใจว่า ไม่ได้มีใครพร้อมใจก่อควันไฟกันต้มยำทำแกงเป็นประชาคมในตอนนี้ ยามนี้อากาศที่ห่อหุ้มเราอยู่น่าจะราวๆ สัก 10 องศาเห็นจะได้ ที่หนาๆ คละคลุ้งคลุมผืนน้ำ แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นคือ หมอก หมอก และก็หมอก ไม่นานนัก...แดดยามสายเริ่มตื่น มองเห็นสายน้ำไหลเอื่อย หลายชีวิตทอดตัวอยู่บนผืนน้ำสีทอง...เรื่อยมอง หมู่บ้านเล็กๆ ริมโขงที่ผสมผสานและหน่วงเหนียวอะไรไว้มากมาย ความไม่รีบเร่ง ความเงียบของที่นี่ ทำให้บางคนแถวนี้ใจไหวๆ คิดถึงบ้านเก่าและคิดถึงใครบางคน...


ราวๆ 8 โมงเช้า ผู้คนเริ่มออกมาทำสัมมาอาชีพ ปั่นจักรยานไปตลาด บางบ้านมีหญิงชราจับกลุ่มนั่งสนทนา รอใส่บาตรข้าวเหนียว วัฒนธรรมที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาเป็นอาจิณ เดินไปบ้านไหน..ก็มีแต่คนส่งยิ้มให้..ทักทายพูดคุย ราวกับรู้จักมานาน มากไปกว่านั้น...เชียงคานมี “ภูท่อก” จุดชมวิวขึ้นชื่อ เหมาะกับการขึ้นไปอาบลมห่มหมอก เป็นมนต์เสน่ห์อีกจุดราวกับได้ไต่ฟ้า ยืนใกล้เมฆ“สวย”...บอกได้แค่นี้คำเดียว...แค่นี้จริงๆ

ไม่ไกลจากนั้นมี “แก่งคุดคู้” ทะเลสันดอนทรายที่ในยามน้ำแห้ง สามารถลงไปเดิน ตั้งเก้าอี้ นอน นั่ง ได้สบายชีวี ที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนของคนมาเยือนเชียงคาน แถมมีร้านค้า ร้านอาหารพื้นเมืองให้ได้เลือกชิมเลือกชม เด็ดสุด น่าจะเป็น “มะพร้าวแก้ว” สุดอร่อย ขึ้นชื่อติดดาว

ยามเย็นหลังแดดเริ่มลดทอนความกร้าว...ถนนตัวหนอน เลียบน้ำโขงกลายเป็นถนนมิตรภาพ มีทั้งเด็กเล็กวิ่ง เดินเล่น กลุ่มแม่บ้านตั้งวงคุยริมรั้วลำน้ำโขง บ้างบ้างเดิน-วิ่ง หาความกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย บ้างตั้งวงกินข้าวยามเย็นรับตะวันคล้อยตกดิน


ฉากหลัง...ที่เห็นเป็นสายน้ำโขงสีชมพู อมม่วง...มองด้วยตาเปล่า แทบไม่เชื่อว่านี่คือภาพจริง...เชียงคานน่าจะเป็นอีกเมืองผ่านที่ไม่ควรเลย สำหรับคนกล้าเหงา เพราะที่นี่มีรอยจาง-จาง ของความเก่าหล่อเลี้ยงหลายต่อหลายลมหายใจ เชียงคานมีคนใจดี ทุกซอกทุกมุม ยิ้มส่ง ยิ้มรับ ถึงกันไม่มีเขิน....ที่นี่ปะปนระหว่าง คนเดินช้า กับคนเดินเร็ว คนใจดีต่อหน้าและคนใจดีลับหลัง ทุกอย่างดำเนินไม่ว้าวุ่นเหมือนเมืองกรุง มีแต่กลิ่นฟุ้งๆ ของความเป็นมิตรที่ไม่อยากให้ใคร มาเทสี....ความเปลี่ยนแปลง


*ท้ายที่สุดขอให้เชียงคาน อยู่ในเสน่ห์ที่ไม่ต้องแต่งเติม ไร้ข้อแม้...อย่างนี้ ไปนาน นาน...

การเดินทาง

รถส่วนตัว : จากกรุงเทพฯใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ผ่านตัวเมืองสระบุรี ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์เข้าทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ ถึงตัวจังหวัดเลยใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมง หรือใช้เส้นทางจากสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 มิตรภาพผ่านจังหวัดนครราชสีมาถึงจังหวัดขอนแก่น เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ แล้วใช้เส้นทางหมายเลข 201 เข้าเขตจังหวัดเลย ที่อำเภอภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวจังหวัดเลยได้เช่นเดียวกัน

รถประจำทาง : บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง รายละเอียดสอบถามที่สถานีขนส่งสายอีสาน ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2) โทร.0-2936-0667, 0-2936-0657 วิ่งเส้น กทม.-เพชรบูรณ์-อ.หล่มสัก-อ.หล่มเก่า-อ.ภูเรือ

Story Widchuda Channarong / Photo สกู๊ตเตอร์สีชมพู


http://axcscooter.multiply.com

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร weekend
ที่มา : www.sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง Phu Kradueng National Park



ความเป็นมา
ภูกระดึงเกิดจาก "ภู" + "กระดึง" ภู มาจาก ภูเขา และกระดึง มาจากคำว่า กระดิ่ง ในภาษาพื้นเมืองของจังหวัดเลย ด้วยเหตุนี้ ภูกระดึง จึงอาจแปลได้ว่า ระฆังใหญ่

ชื่อกระดึงนี้มาจากเรื่องเล่าที่ว่าในวันพระ ชาวบ้านมักได้ยินเสียงกระดิ่งหรือระฆังจากภูเขาลูกนี้เสมอ จึงเล่าต่อกันไปว่าเป็นระฆังของพระอินทร์ นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "ภูกระดึง"

ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2486 และเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

ข้อมูลทั่วไป
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ครอบคลุมพื้นที่ 348.12 ตร.กม. (217,575 ไร่) ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยที่ราบบนยอดตัดของภูกระดึงมีพื้นที่ประมาณ 60 ตร.กม. (37,500 ไร่) มีลักษณะคล้ายรูใบบอนหรือรูปหัวใจเมื่อมองจากด้านบน มีความสูงอยู่ระหว่าง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล และมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นตลอดปี

ภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายยอดตัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงโคราช ใกล้กับด้านลาดทิศตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ลักษณะโครงสร้างทางธรณีของภูกระดึงเกิดขึ้นในมหายุค Mesozoic เป็นหินในชุดโคราช ประกอบด้วยชั้นหินหมวดหินภูพาน หมวดหินเสาขัว หมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง

พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 400-1,200 เมตร มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่คล้ายรูใบบอน ประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร

สภาพพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงมีส่วนสูงอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ค่อยๆ ลาดเทลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ลำธารสายต่างๆ ที่เกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขาไหลไปรวมกันทางด้านนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหวาย ในจังหวัดขอนแก่น


ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงบริเวณที่ระดับต่ำตามเชิงเขา มีสภาพโดยทั่วไปใกล้เคียงกับบริเวณอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฝนตกชุกที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม และอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน

สภาพอากาศทั่วไปบนยอดภูกระดึง แตกต่างจากสภาพอากาศในที่ราบต่ำเป็นอย่างมาก โดยปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำฝนบนที่ต่ำ เนื่องจากอิทธิพลของเมฆ/หมอกที่ปกคลุมยอดภูกระดึงเป็นเนืองนิจ ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 0-10 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 12-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 23-30 องศาเซลเซียส อากาศบนยอดภูกระดึงมักจะแปรปรวน มีเมฆหมอก ลอยต่ำปกคลุมบ่อยครั้ง อากาศจึงค่อนข้างเย็นตลอดปี ในช่วงฤดูฝน มักเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เกิดการพังทะลายของภูเขาและมีน้ำป่า ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ปิดการท่องเที่ยวเฉพาะบนยอดเขาภูกระดึง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้มีการพักฟื้นตัว หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี

พืชพรรณ

สังคมพืชของภูกระดึงเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดป่าหนึ่ง มีทั้งป่าผลัดใบ และป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงต่างๆ จำแนกออกได้เป็น
- ป่าเต็งรัง พบบนที่ราบเชิงเขาและบนที่ลาดชันจนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร
- ป่าเบญจพรรณ พบตั้งแต่บนพื้นที่ราบเชิงเขาและที่ลาดชันตามไหล่เขารอบภูกระดึง จนถึงระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 950 เมตร
- ป่าดิบแล้ง พบตามฝั่งลำธารของหุบเขาที่ชุ่มชื้นทางทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตก ตั้งแต่เชิงเขาจนถึงระดับความสูงประมาณ 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล
- ป่าดิบเขา พบตั้งแต่ระดับ 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
- ป่าสนเขา พบเฉพาะบนที่ราบยอดภูกระดึงที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเล

พรรณไม้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่
- ก่วมแดง พืชสกุลเมเปิลที่พบบริเวณน้ำตก บนภูกระดึงต้นจะแดงสดในฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม
- หม้อข้าวหม้อแกงลิง พบได้เป็นดงในบริเวณใกล้ผานาน้อยจนถึงผาแดง
- ดอกกระเจียว ทุ่งดอกกระเจียวพบได้ในบริเวณใกล้ผาเหยียบเมฆจนถึงผาแดง โดยปกติดอกกระเจียวจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายน แต่ในเดือนพฤษภาคมก็จะยังพบดอกกระเจียวบานอยู่ แม้ว่าอาจจะถูกแมลงและสัตว์ต่างๆ กัดกินดอกและใบของมันไปบ้างก็ตาม

สัตว์ท้องถิ่น
ภูกระดึง ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้าและลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิดที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ช้างป่า เก้ง กวางป่า หมูป่า ลิงกัง ลิงลม บ่าง กระรอกหลากสี กระแต หนูหริ่งนาหางยาว ตุ่น เม่นหางพวง พังพอน อีเห็น เหยี่ยวรุ้ง นกเขาเปล้า นกเขาใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกเค้ากู่ นกตะขาบทุ่ง นกโพระดกคอสีฟ้า นกตีทอง นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง นกนางแอ่นสะโพกแดง นกเด้าดินสวน นกอุ้มบาตร์ นกขี้เถ้าใหญ่ นกกระทาทุ่ง นกพญาไฟใหญ่ นกกางเขนดง นกจาบดินอกลาย นกขมิ้นดง ตุ๊กแก จิ้งจกหางแบนเล็ก กิ้งก่าสวน จิ้งเหลนบ้าน เต่าเหลือง งูทางมะพร้าว งูลายสอบ้าน งูจงอาง งูเก่า งูเขียวหางไหม้ อึ่งอี๊ดหลังลาย เขียดหนอง คางคก กบหูใหญ่ ปาดแคระ และมีเต่าชนิดหนึ่งซึ่งหาได้ยาก คือ เต่าปูลู หรือ “เต่าหาง” เป็นเต่าที่หางยาว อาศัยอยู่ตามลำธารในป่าเขาระดับสูงของประเทศไทย กัมพูชา และ ลาว

เส้นทางขึ้นไปยังยอดภู

เส้นทางขึ้นที่อำเภอภูกระดึง เป็นเส้นทางเก่าแก่และได้รับความนิยมมากที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมความงามบนยอดภูกระดึง ได้ที่อำเภอภูกระดึง ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 7.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานแห่งชาติจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไป เนื่องจากจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทางเกิดความยากลำบากในการเดินทาง อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน

เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป (5.5 กม.)การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ลำบากมากนัก แต่ระยะทางจะไกลและชัน เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป มีระยะทางประมาณ 5.5 กม.หากเดินขึ้นภูตั้งแต่เช้า อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมไปตลอดทาง โดยเฉพาะสภาพทางธรณีและสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา จนถึงหลังแปจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป จะแบ่งเป็นหลายช่วง แต่ละช่วงเรียกว่า ซำ ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีน้ำขัง มักเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่ามาพักกินน้ำ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางผ่าน ปางกกค่า ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก พร่านพรานแป ซำกกหว้า ซำกกโดน และซำแคร่ ตามลำดับ ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักเหนื่อยต่างๆ ซึ่งจะมีร้านค้าบริการอาหาร เครื่องดื่ม และห้องน้ำโดยหลังจากซำแคร่ซึ่งเป็นซำสุดท้าย นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม. เพื่อเข้าสู่ยอดเขาในส่วนที่เรียกกันว่าหลังแป ระยะทางและความสูงจากระดับน้ำทะลแต่ละช่วงตามรูป

เส้นทางจากหลังแปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง (3.6 กม.)หลังจากขึ้นถึงหลังแป จะเป็นทางราบท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าสนเขาอันกว้างใหญ่ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางราบอีกประมาณ 3.6 กม. เพื่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางบนยอดเขา เพื่อตั้งเต็นท์ หรือที่พักอาศัยอื่นๆ ณ จุดยอดเขานี้นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นป่าสนมากมายเรียงรายกันตลอดทางผังลานกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง
เส้นทางขึ้นที่อำเภอน้ำหนาว
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาภูกระดึงได้ที่บ้านฟองใต้ อำเภอน้ำหนาว ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นเขาเส้นทางใหม่ โดยจะขึ้นไปที่ผาหล่มสักโดยตรง มีระยะมีระยะทาง 5.2 กม. จากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลย.5 (หนองผักบุ้ง) ถึงผาหล่มสัก


เส้นทางท่องเที่ยวบนยอดเขาภูกระดึง
แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือบริเวณท่องเที่ยวปกติ และบริเวณป่าปิด
บริเวณแหล่งท่องเที่ยวปกติ แบ่งเป็นเส้นทางน้ำตก และเส้นทางเลียบผา
1.1 เส้นทางน้ำตก การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ สระแก้ว น้ำตกถ้ำสอใต้ สระอโนดาด น้ำตกธารสวรรค์ และพระพุทธเมตตา1.2 เส้นทางเลียบผา การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ พระแก้ว ผานกแอ่น ผาหมากดูก ผาจำศีล ผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และผาหล่มสัก จุดดูพระอาทิตย์ขึ้นสามารถดูได้ที่ผานกแอ่นเพียงที่เดียวมีระยะทางห่างที่พักเพียง 2 กม. สำหรับจุดดูพระอาทิตย์ตกสามารถชมได้ที่ผาหมากดูก ซึ่งใกล้ที่สุดห่างจากที่พักเพียง 2 กม. และผาหล่มสักซึ่งเป็นจุดที่นิยมมากที่สุด
ส่วนบริเวณป่าปิด แบ่งได้เป็นเส้นทางน้ำตกขุนพอง และเส้นทางผาส่องโลก
2.1 เส้นทางน้ำตกขุนพอง จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตกขุนพอง2.2 เส้นทางผาส่องโลก จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกผาฟ้าผ่า โหล่มฟ้าโลมดิน ผาส่องโลก โหล่นเจดีย์ โหล่นถ้ำพระ และ แง่งทิดหา



แผนการเที่ยวฉบับอุทยาน
แผนการเที่ยว 1 คืน 2 วัน เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อย (เดิน 26 กม.)
วันที่ 1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา-ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่ 2 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา
แผนการเที่ยว 2 คืน 3 วัน (เดิน 44 กม.)
วันที่1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่2 ชมน้ำตกต่างๆ สระอโนดาด น้ำตกถ้ำสอเหนือ ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก หรือ ชมน้ำตกต่างๆ สระแก้ว ผานาน้อย ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก
วันที่3 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา
แผนการเที่ยว 3 คืน 4 วัน (เดิน52 กม.)
วันที่1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่2 ชมน้ำตกต่างๆ สระแก้ว ชมพระอาทิตย์ตกที่ผานาน้อย กลับที่พัก
วันที่3 ชมสะอโนดาต น้ำตกถ้ำสอเหนือ ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก
วันที่4 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา

จุดเด่น

แหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึงส่วนใหญ่มีทางเดินชมธรรมชาติติดต่อถึงกันหมด การท่องเที่ยวบนภูกระดึงควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน เพื่อจะได้เที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงาม เหล่านั้นได้ทั่วถึง จุดที่น่าสนใจ ได้แก่


ผานกแอ่น
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กม. ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่น เย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่ง เต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

ผาหมากดูก
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.3 กม. เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตก ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์สามารถชมทิวทัศน์ภูผา จิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก


ผาหล่มสัก
อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 9 กม. เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้ บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของ เทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกัน หนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

ลานวัดพระแก้ว
หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว สามารถเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลาน หินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน

ลานหินบริเวณองค์พระพุทธเมตตา
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 500 เมตร ลานหินบริเวณองค์พระนี้เป็นจุดชมพันธุ์ไม้บนลานหิน เช่น ดุสิตา กระดุมเงิน เอื้องม้าวิ่ง ที่อยู่ใกล้ที่สุด

สระแก้ว
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 1 กม. อยู่ในส่วนต้นน้ำของลำธารสวรรค์ "ธารสวรรค์" ลักษณะเป็นวังน้ำลึกขนาดไม่กว้างนัก น้ำใสมากจนมองเห็นพื้นหิน ขาวสะอาด เป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าจำนวนมาก ต่อจากบริเวณสระแก้วมีทางเดินชมธรรมชาติผ่านลานหิน ซึ่งมีดอกหรีดสีม่วงอมน้ำเงินเกสรสีเหลือง ขึ้นอยู่เป็นทุ่งไปจนถึงผา นาน้อย แยกซ้ายไปจะพบกับผาจำศีล ซึ่งมีลานหินกว้างพอให้นั่งพักผ่อน จากผาจำศีลประมาณ 600 เมตร จะถึงผาหมากดูก หากแยกขวาจะผ่านผาเหยียบเมฆและผาแดง แล้ว ก็จะถึงผาหล่มสัก

สระอโนดาด
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กม. เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรีซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิน เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมด

น้ำตกวังกวาง
เป็นน้ำตกอยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุดในบรรดาน้ำตกบนภูกระดึง ระยะทางเพียง 750 เมตร จากจุดเริ่มต้นตรงบริเวณบ้านพัก ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง 7 เมตร ตัดขวางลำธาร ธารน้ำไหลลงยังวังน้ำเบื้องล่าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายโพลงถ้ำมุดลงไปและบริเวณป่าใกล้ๆ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางมักจะลงมากินน้ำอยู่เสมอๆ จึงเรียกว่า "วังกวาง" บริเวณ น้ำตกมีที่กว้างขวางให้ได้นั่งพักสบายๆ หลายมุม เพราะน้ำตกอยู่ไม่ไกล สามารถลงเล่นน้ำได้

น้ำตกเพ็ญพบใหม่
เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียว ขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของ ชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

น้ำตกโผนพบ
เป็นหนึ่งในน้ำตกหลายจุดอันเกิดจากสายน้ำวังกวาง ห่างจากตัวน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพียง 600 เมตรเท่านั้น ในส่วนของลำธารส่วนบนของน้ำตกโผนพบนี้ สามารถไปยืนชมตัว น้ำตกกลางลำธารซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม น้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยบนภูเขานี้ สำหรับชื่อ "โผนพบ" ตั้งชื่อเป็น เกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยน โลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่าง ประเทศ

น้ำตกเพ็ญพบ
อยู่ห่างจากน้ำตกโผนพบ 800 เมตร เป็นน้ำตกที่ไม่สูงนัก ลำห้วยช่วงก่อนไหลลงน้ำตกเป็นลานหินกว้าง ลักษณะคล้ายแก่งที่เต็มไปด้วยหลุมกลม

น้ำตกถ้ำใหญ่
ห่างจากน้ำตกเพ็ญพบประมาณ 1 กม. เส้นทางเดินไปสู่น้ำตกจะดูใกล้นิดเดียวสำหรับคนชอบธรรมชาติ ชมนกชมไม้ เพราะตลอดเส้นทางครอบคลุมไปด้วยป่าดิบเขาที่มีพรรณ ไม้ใหญ่และร่มครึ้มกว่าทุกเส้นทางน้ำตกอื่นๆ อาจได้พบต้นส้มกุ้ง (Begonia sp.) ออกดอกเป็นสีชมพู เกสรกลางสีเหลือง ชอบขึ้นตามทางในพื้นที่สูงอย่างป่าดงดิบเขา ในเส้น ทางถ้ำใหญ่นี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆ มีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ หากช่วงต้นมกราคม เส้นทางนี้จะแดงฉานด้วยใบเมเปิ้ลที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่า ความสวย งามของน้ำตกถ้ำใหญ่จะแปลกตาด้วยโขดหินมหึมาวางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ลำธารนี้ขนาบข้างด้วยต้นเมเปิ้ล ยามเมเปิ้ลแดงล่วงหล่น ขัดสีให้ลำธารหินเขียวสวยงามมีสีสัน และมีชีวิตชีวาขึ้นมามากนัก

น้ำตกถ้ำสอเหนือ
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กม. เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อน จะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น

น้ำตกถ้ำสอใต้
อยู่ถัดจากน้ำตกถ้ำสอเหนือลงไปตามลำน้ำประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากหน้าผาหินถล่มลงไป สภาพภูมิประเทศไม่ได้อำนวยให้เกิดเป็นชั้นน้ำตกเหมือน แห่งอื่นๆ

น้ำตกตาดฮ้อง
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น เกิดจากลำน้ำพอง ซึ่งไหลลงมาจากภูกระดึงด้านหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือ สองฝั่งของตาดฮ้องเป็นผาหินสูงชันมาก เมื่อน้ำตกผ่านผาหินกว้างที่ลด หลั่นเป็นชั้นๆ จึงทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง จากบริเวณน้ำตกมองเห็นแนวภูเขาเปลือยขวางอยู่ข้างหน้าน้ำตกตาดร้องอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 20 กม.

วังอีเมือง
อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 3.2 กม. บริเวณนี้มีแก่งที่สวยงามหลายแห่ง เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนและลงเล่นน้ำ

แก่งป่าหินทราย
อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 5.6 กม. เป็นแก่งหินที่สวยงาม มีความยาวประมาณ 750 เมตร ด้านบนมีจุดชมทิวทัศน์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของแก่งได้ อย่างสวยงาม บริเวณแก่งหินจะมีหลุมเป็นอ่างหินที่เกิดจากการกัดกร่อนของแรงน้ำมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง


ช่วงเวลาท่องเที่ยว
ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี

กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว
เดินป่าพิชิตภูกระดึง ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกนางแอ่นและชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกหรือผาหล่มสัก ชมพืชพรรณธรรมชาติและน้ำตกต่างๆ

ค่าธรรมเนียม
ผู้ใหญ่ 20 บาท
เด็ก 10 บาท
ค่าบริการลูกหาบสัมภาระ กิโลกรัมละ 10 บาท


ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
หมู่ที่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ. ภูกระดึง จ. เลย 42180
โทรศัพท์: 042-871-333, 042-871-458
อีเมล์: phukradueng_np@dnp.go.th

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ
โทรศัพท์: 02-562-0760

ติดต่อจองที่พักของทางอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติมีบ้านพัก เต็นท์และเครื่องนอนเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยว สามารถติดต่อจองเต็นท์กับทางอุทยานแห่งชาติได้ในวันที่มาถึง ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน (เชิงเขา) ก่อนขึ้นภูกระดึง

สามารถจองที่พักได้ด้วยตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่เว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช www.dnp.go.th

ที่มา : www.teeteawthai.com ,www.sanook.com

สถานที่สุดโรแมนติก ‘บอกรัก’ วันวาเลนไทน์

วาเลนไทน์ ปีนี้หากคุณและคนรักกำลังมองหาสถานที่แสนโรแมนติก บรรยากาศดี เป็นสถานที่บอกความในใจกับคนรัก หรือพาคนรักไปเติมความหวานให้กับชีวิตคู่ สนุก! ท่องเที่ยว ได้คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ มาให้คุณใช้เป็นตัวเลือกเนรมิตฉากโรแมนติกในฝัน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนรักของคุณในวัน วาเลนไทน์ ปีนี้ไปอีกนานแสนนาน

เชียงคาน


วาเลนไทน์ ปีนี้หากคุณและคู่รักหลงใหลในความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ความเงียบสงบ และความโรแมนติก เมืองเล็กๆ อย่างเชียงคาน ที่สาวๆ กลัวว่ามาแล้วจะขึ้นคานดั่งชื่อ ขอให้ละความคิดนี้ไปได้เลย เพราะเมืองริมแม่น้ำโขงแห่งนี้ยินดีต้อนรับคุณและคนรักให้มาบอกรักกันในวันวาเลนไทน์ ท่ามกลางความน่ารักของผู้คน ความเรียบง่ายของวิถีชีวิตชุมชน ที่จะทำให้หัวใจของคุณอบอุ่นไปแสนนาน

โรยัล กู้ดวิว รีสอร์ท


ให้รางวัลกับความรักของคุณทั้งสองคนในวันวาไลนไทน์ปีนี้ด้วยการเปิดประสบการณ์พักผ่อนแสนโรแมนติกในรูปแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ณ รอยัล กู้ดวิลล์ รีสอร์ท อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยขุนเขา บ้านทุกหลังมีดาดฟ้าให้คุณและคู่รักสามารถขึ้นไปดื่มด่ำบรรยากาศโรแมนติก หรือจะสนุกกับการให้อาหารแกะขนฟูแสนน่ารักหลายสิบตัว ก็เป็นการเติมความหวานให้กับความรักของคุณ ที่จะทำให้คุณทั้งสองไม่อาจลืมสถานที่นี้ได้เลย

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน


พระราชวังแห่งความรักและความหวังในบรรยากาศแบบบ้านพักตากอากาศที่มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ความร่มรื่นบนพื้นสนามหญ้าสีเขียวสด มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นในมุมสบายๆ และเมื่อมองไปเบื้องหน้าก็เห็นเป็นชายหาดที่มีลมเย็นพัดโชยมาอยู่ตลอดเวลา ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติ๊ก โรแมนติกซะเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหากคุณเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่บอกรัก เชื่อเลยว่าคนรักของคุณจะต้องประทับใจเป็นที่สุดอย่างแน่นอน

PB Valley เขาใหญ่


มอบความสุขเป็นของขวัญให้คุณกับคนรักด้วยการสร้างวันที่แสนโรแมนติกและผ่อนคลาย ที่ PB Valley เขาใหญ่ สัมผัสบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว ท่ามกลางความงดงามของไร่องุ่น และวิวทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่กลางหุบเขาดงพญาเย็นให้โอบกอดคุณและคู่รัก อย่ารอช้าควงคู่มาสัมผัสด้วยตัวเอง แค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ จากกรุงเทพฯ เท่านั้น

A Cup of love วังน้ำเขียว


ร้านกาแฟที่ขึ้นชื่อการตกแต่งร้านอย่างสวยงาม บรรยากาศแสนโรแมนติกท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติในอำเภอวังน้ำเขียว ดินแดนที่ได้ชื่อว่า สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย เหมาะสำหรับคอกาแฟ และนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อน รวมไปถึงคู่รักที่ต้องการความโรแมนติก ที่ต้องการมาสร้างความประทับใจและทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน เช่น ป้อนหญ้าและป้อนนมให้กับแกะ เดินเล่นในสวนดอกไม้ ถ่ายรูปในมุมสวยๆ หรือจะนอนค้างสักคืน ก็เป็นความทรงจำอันน่าประทับใจของคุณทั้งสองเลยละ

ภูกระดึง


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า หากต้องการพิสูจน์ความรักแท้ของคุณทั้งสองคน คุณต้องพาคู่รักไปพิชิตยอด ภูกระดึง หลังจากการพิชิตยอดภูกระดึงแล้ว คุณทั้งสองยังครองรักกันต่อไปได้ นั่นแสดงว่าคุณทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เพราะช่วงเวลาที่เดินสู่ยอด ภูกระดึง นั้นจะเป็นสิ่งพิสูจน์รักแท้ของคุณทั้งสอง ความเหนื่อยล้า การดูแลเอาใจใส่ จะเป็นสัญญาณบอกให้คุณรู้ว่าเขาและเธอพร้อมจะดูแลคุณแค่ไหนหากต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน

ได้ตัวช่วยแล้ว พร้อมออกเดินทางพาคู่รักไปเติมความหวานซึ้งๆ ใน วันวาเลนไทน์ กันหรือยังครับ 

เรื่อง: กันต์ ณ ปกรณ์
ที่มา : www.sanook.com

เกาะสีชัง...สวยน่าไปทุกฤดูกาล

"สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือจะชังใคร..." ฉันได้ยินเพลงนี่ดังมาจากวิทยุคลื่นหนึ่ง ทำให้คิดขึ้นได้ว่าคู่หูเดินทางฉบับนี้เราน่าจะพาไปเยือนยังเกาะสีชัง ยามเมื่อปลายฝนต้นหนาว เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า สีชังนั้นเขาชังแต่ชื่อจริงดังบทเพลงหรือไม่?


การเดินทางนั้นไม่ยากเลย นั่งรถเพียงแค่ชั่วโมงเศษๆก็ถึงอำเภอศรีราชาแล้ว ลงรถที่หน้าตึกคอม ต่อรถสามล้อ(ตุ๊กตุ๊ก) หรือรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไปยังท่าเรือเกาะลอย เพื่อขึ้นเรือต่อไปยังเกาะสีชัง ค่าโดยสารเรือเพียงคนละ 45 บาท ขาไปเริ่มเวลา 8.00-20.00 น. ขากลับเริ่ม 6.00-18.00 น.เรือจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 40-45 นาทีก็ถึงแล้ว ทันทีที่ย่างเท้าก้าวขึ้นท่าเรือ ชุมชนเกาะสีชัง ก็สามารถสัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์ บรรยากาศการท่องเที่ยวแบบท้องถิ่น มิตรภาพ รอยยิ้มและน้ำใจที่มีให้พบเห็นกันโดยทั่วไปบนเกาะแห่งนี้ เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ ถือได้ว่าเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวแห่งหนึ่งมีท่าจอดเรือ 2 จุด คือ ท่าบน และ สะพานท่าเทววงษ์ (ท่าล่าง) สามารถเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับหรือจะพักค้างคืนก็ได้เพราะที่นี่เค้าก็มีทีพัก รีสอร์ทไว้คอยให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยว

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่



ตั้งอยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย สามารถเดินต่อไปยัง มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เดินบันไดต่อขึ้นไปอีกประมาณ 345 ขั้นรัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ

ช่องเขาขาด



ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณจะมีสะพานวชิราวุธสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลมๆ ขนาดต่างๆ มากมาย ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5

หลักศิลาจารึก



ตั้งอยู่ที่ข้างสนามโรงเรียนเกาะสีชัง จารึกเล่าถึงพระราชปรารภของรัชกาลที่ 5 เกี่ยวกับบรรยากาศที่ดีบนเกาะสีชัง

พิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน



ตั้งอยู่ภายในบริเวณพระราชวังจุฑาธุราชฐาน เป็นสถานที่จัดแสดงสัตว์น้ำทางทะเลอยู่ในความดูแลของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแหล่งที่ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เปิดให้ชมฟรี วันอังคาร ถึงวันอาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ เวลา 9.00 - 17.00 น.

พระจุฑาธุชราชฐาน



ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง เดินเข้ามาก็จะพบศูนย์บริการข้อมูล ซึ่งมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเป็นเด็กนักเรียนที่หารายได้พิเศษเพื่อเป็นทุนการศึกษา เด็กทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี สามารถอธิบายและพาเดินชมได้อย่างทั่วถึง ค่าบริการแล้วแต่จะให้เพราะถือว่าเป็นการสนับสนุนการศึกษาแก่อนาคตของชาติเรานั่นเอง เดินขึ้นไปทางขวามือก็จะพบพระบรมรูป รัชกาลที่ 5 ขอเชิญสักการะเพื่อเป็นสิริมงคล ถัดขึ้นไปเป็นระฆังหิน เพียงคุณใช้หินก้อนเล็กๆ เคาะที่ระฆังหินเบาๆ คุณก็ได้ยินเสียงกังวานดั่งเคาะระฆังจริงๆ เค้าว่าให้อธิฐานระหว่างเคาะเรื่องที่ขอไว้ก็จะได้สมใจหมาย เดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็จะพบกับวัดอัษฎางค์นิมิตร เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่นคือ มีพระอุโบสถ อยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ตัวพระอุโบสถสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อมาจากพุทธคยาประเทศอินเดียปลูกไว้ เดินลงมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับเรือนผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม เรือนอภิรมย์ เรือนวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง และเรือนไม้ริมทะเล ในส่วนพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างในสมัยนั้น เหลือให้เห็นเพียงฐานราองค์พระที่นั่งเท่านั้น เพราะได้ถูกรื้อย้ายไปปลูกที่พระราชวังดุสิต แล้วพระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ก่อสร้างที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก ได้แก่ บ่อน้ำ ผา ธารน้ำ สระน้ำ พระที่นั่ง น้ำพุ พระตำหนัก บันได ทางสัญจร ประภาคาร แล สถานที่ก่อสร้างอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามดึงดูดใจผู้มาเยือนและผู้พบเห็นก็คือ สะพานอัษฎางค์ เป็นสะพานท่าเทียบเรือขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้สักทาสี เสาก่อด้วยหินโบกปูนซีเมนต์ มีศาลาพักทรงไทย 3 แห่ง คือ ต้น กลาง และปลายสะพาน หน้าบันจำหลักโดยช่างชาวจีนฝีมือประณีตและงดงาม

Tips

รถบริการสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
• รถสามล้อเครื่องหรือที่นี่เขาเรียกกันว่า "สกายแลป" อัตรานำเที่ยวรอบเล็ก 150 บาท รอบใหญ่ 250 บาท
โดยสารได้ไม่เกิน 6 คน
• รถสองแถวบริการนำเที่ยวรอบเกาะ ราคาคันละ 500 บาท โดยสารได้ 7-15 คนไม่จำกัดเวลา
• รถมอเตอร์ไซด์เช่า คิดค่าบริการ 1 ชั่วโมง 80 บาท, เหมา 250 บาท, ค้างคืน 300 บาท

ที่มา :  www.sanook.com

ตื่นตา!! 7 เส้นทางท่องเที่ยว Hilight ภาคอีสาน


เสน่ห์มนตราริมโขง ... จุดหมายปลายทางที่คุณจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขงกับหลากพันหลากแสนชีวิตที่ต้องเกาะเกี่ยวกับสายน้ำ ทำให้แม่น้ำโขงเปรียบดัง สายน้ำแห่งชีวิต จากต้นกำเนิดบนจากเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านประเทศจีน ที่ราบสูงธิเบต สู่ทะเลจีนใต้ ผ่านลาว พม่า ไทย กัมพูชา และเวียดนาม บนความยาวทั้งหมด 4,880 กิโลเมตร ทำให้สายน้ำโขงมีทั้งประวัติ เรื่องเล่า ความเชื่อผสมผสานอยู่ในความงดงามแห่งสายน้ำ



เช่นเดียวกับหลายจังหวัดของประเทศไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับลำน้ำโขง จังหวัดเหล่านี้จึงมีเสน่ห์แห่งสายน้ำบวกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นอกเหนือจากจุด แรกของการบรรจบที่จังหวัดเชียงราย สายน้ำแผ่กว้างไกลเจือจานมายังหลายจังหวัดในภาคอีสาน ตั้งแต่จังหวัดเลย จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมุกดาหาร วิถีชีวิตตามลุ่มน้ำจึงเป็นที่มาของมนตราแห่งลำน้ำโขง แทรกซึมอยู่ในพื้นที่ต่างๆของทั้งห้าจังหวัดอย่างแยกไม่ออก

จังหวัดเลย จุดดึงดูดในปัจจุบันก็คงจะหนีไม่พ้นพื้นที่ของอำเภอเชียงคาน เมืองริมโขงอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี อุ่นไอวัฒนธรรมโบราณด้วยเรือนไม้โบราณที่ยังคงมีชีวิต ถูก ดัดแปลงให้เป็นร้านค้ารองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเสพความขรึมขลังของวันวาน ความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ในวัดศรีคุณเมือง

จังหวัดนครพนม ขึ้นภูลังกา อ.บ้านแพง แปลกตากับพระเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อันเชิญมาจากประเทศเนปาล ระหว่างทางขึ้นภูยังได้ ชมวิวของสายน้ำโขง และฝั่งประเทศลาวจากมุมสูง ลงจากภูก็เข้าวัดพระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน สักการะพระธาตุซึ่งจำลองแบบมาจากพระธาตุพนม


จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวหมู่บ้านมิตรภาพไทยเวียดนาม (บ้านโฮจิมินห์) ที่บ้านนาจอก อ.เมือง อนุสรณ์สถานรำลึกถึงประธานาธิบดีของเวียดนาม ที่ลี้ภัยมา พำนักที่นี่ถึง 7 ปี บนถนนสุนทรวิจิตรเลียบแม่น้ำโขง ในตัวอ.เมือง จะรื่นรมย์ไปกับอาคารเก่าแบบเฟรนซ์โคโลเนียล เกือบทั้งหมดได้รับการออกแบบและก่อนสร้างโดย นายช่างชาวเวียดนาม

จากเมืองท่าแขก ในประเทศลาว เลี้ยวซ้ายเข้าวัดนักบุญอันนา หรือโบสถ์หนองแสง ริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นศูนย์กลางชาวคริสต์ริมโขง หรือมิสซังลาว สร้างแบบ สถาปัตยกรรมกอธิก ที่นี่จะมีงานดาวกระดาษในวันคริสต์มาส และเมื่อขับรถเลียบโขง ก็จะถึงอ.ธาตุพนม ที่ตั้งของพระธาตุพนมอันเป็นที่เคารพของคนทั้งสองฝั่งโขง

จังหวัดหนองคาย จากจังหวัดเลย แม่น้ำโขงไหลต่อไปหนองคาย จังหวัดที่ทอดตัวยาวขนานไปกับแม่น้ำโขงมากที่สุด โดยมีถึง 8 อำเภอ ที่อยู่ริมโขง และเป็นจังหวัดแรก ที่มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงสู่ประเทศลาว เริ่มทัวร์บุญที่ถ้ำศรีมงคล เริ่มที่วัดถ้ำดินเพียงที่ อ.สังคม ถ้ำที่มีความสลับซับซ้อน ว่ากันว่าคล้ายเมืองบาดาล ที่อาศัยของพญานาค ไปกราบรูปหล่อหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง


อ.ศรีเชียงใหม่ ปฏิบัติธรรม ดูทัศนียภาพแม่น้ำโขง แล้วสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในพระสุธรรมเจดีย์ ที่วัดอรัญบรรพต ไหว้พระธาตุบังพวน อ.ท่าบ่อ ยอดสูงสุดประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ไปชมประติมากรรมเรื่องราวพุทธประวัติ และเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ที่ศาลาแก้วกู่ (วัดแขก) ปูชนียสถานเทวาลัย ที่อ.เมือง ช้อปปิ้งที่ท่าเสด็จฯ

จังหวัดมุกดาหาร ที่นี่จะมีโบสถ์คริสต์รูปลักษณ์อาคารเป็นแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีความสวยงามและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความงามยังมี ประวัติความเป็นมาที่ศึกษา โดยทุกวันที่ 22 ตุลาคม และวันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี จะมีงานบุญราศีวัดสองคอน เพื่อเทิดพระเกียรติบุญราศีมรณสักขีทั้ง 7 ท่าน ที่ได้พลี ชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และภายในมีหุ่นขี้ผึ้ง ของบุญราศีทั้งเจ็ดนอนอยู่ในโลงกระจกแก้ว

จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจุดสุดท้ายของสายน้ำโขงที่ไหลผ่านดินแดนไทย สามารถมาเที่ยวชมแก่งหินสามพันโบก ที่อ.เขมราฐ ชมความตระการตาของกลุ่มหินที่ทอดยาว เป็นคอนขนาดใหญ่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ต่อจากนั้นเดินทางไปชมแหล่งอารยธรรมโบราณอีกแห่งที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ที่อยู่ในพื้นที่ของอ.โขงเจียม อ.ศรีเมือง ใหม่ อ.โพธิ์ไทร ที่ไม่ควรพลาดชมคือภาพเขียนสีที่ต่อกันยาวที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งสามารถมองไกลไปถึงฝั่งลาวได้ พร้อมกับชมแสงอาทิตย์แรกของประเทศไทยได้โขงเจียม อำเภอทางด้าน ตะวันออกสุดที่จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อนใครๆ และย้อนรอยของแม่น้ำสองสีไหลมาบรรจบกัน ไปพิสูนน์ที่มาของคำว่า โขงสีปูน มูลสีคราม รวมถึงเป็นแหล่งของปลาแม่น้ำ โขงหลากสายพันธุ์ และตลาดขายส่งปลาแม่น้ำโขงที่ใหญ่ที่สุดในเขตอีสานใต้


ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เว็บไซต์ : www.เที่ยวอีสาน.com/ 
ที่มา : travel.thaiza.com

"หาดในหาน" เสน่ห์หาดสวยของจังหวัดภูเก็ต


"หาดในหาน" เป็นหาดที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต แม้ว่าจะเป็นหาดที่ไม่ยาวนัก แต่มีทรายที่ขาวสะอาดและมีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง โดยหาดนั้นอยู่ ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปทางทิศเหนือ 

ส่วนด้านหลังของชายหาดเป็นบึง ชาวบ้านเรียกว่า หนองหาน ระหว่างทะเลและบึงมีเพียงหาดทรายของหาดในหานขวางกั้นอยู่เท่านั้น ในช่วงฤดูมรสุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึง เดือนตุลาคม หาดในหานจะมีคลื่นแรงมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำเพราะอาจเกิดอันตรายได้ 

ข้อมูลโดย : กรมการท่องเที่ยว
ที่มา  : travel.thaiza.com

มหัศจรรย์หินซ้อนที่ "เกาะดง"


"เกาะดง" เป็นเกาะขนาดใหญ่อีกเกาะหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล อีกทั้งยังเป็นเกาะสุดท้ายในทะเลลึก ที่มีทิวทัศน์รอบๆเกาะที่ค่อนข้างสวยงามมาก เนื่องจากน้ำทะเลที่ค่อนข้างใส รวมไปถึงหาดทรายขาวเนียนละเอียดมากแห่งหนึ่ง 

โดยความโดดเด่นของเกาะนี้คือ รอบๆเกาะนั้นมีหินซ้อนขนาดใหญ่สองก้อนซ้อนกัน เหมือนจะหลุดจากกัน แต่ก็อยู่มาได้หลายร้อยปี ซึ่งสร้างความแปลกตาให้แก่นักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็น และยังมีจุดดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามใต้ท้องทะเลรอบๆเกาะดงได้อีกด้วย 

ข้อมูลโดย : กรมการท่องเที่ยว
ที่มา  : travel.thaiza.com

เที่ยวบุรีรัมย์ ชมความงามปรางค์ "กู่สวนแตง"


ปรางค์กู่สวนแตง หรือ กู่สวนแตง

การท่องเที่ยวปรางค์กู่สวนแตง หรือ กู่สวนแตง คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลบ้านใหม่ไชยพจน์ อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์ 

กู่สวนแตง เป็นโบราณสถานแบบขอมอีกแห่งหนึ่ง ที่ถูกใช้ในการประกอบศาสนกิจในศาสนาฮินดูตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แต่พอมาถึงรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ทรงนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน นิกายวัชรยาน ปรางค์องค์นี้จึงเป็นที่ประกอบศาสนกิจในศาสนาพุทธแทน 

พระปรางค์องค์นี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 ปัจจุบันเป็นโบราณสถานที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยโบราณ โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานศิลปากรที่ 12 จ.นครราชสีมา 

กู่สวนแตง ประกอบด้วยปรางค์อิฐ 3 องค์ ตั้งเรียงในแนวเหนือ-ใต้ บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ทับหลังของปรางค์ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครและที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 

การเดินทางไปยังปรางค์กู่สวนแตง ใช้ทางหลวงหมายเลข219 (บุรีรัมย์-พยัคฆภูมิพิสัย) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 202 ไปอำเภอประทาย จะพบทางแยกเข้าส่กู่สวนแตงด้านซ้ายมือ 


ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เว็บไซต์ : www.เที่ยวอีสาน.com/
ที่มา  : travel.thaiza.com

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เที่ยวสุขสบาย สไตล์ ภูหินร่องกล้า









เที่ยวสุขสบาย สไตล์ ภูหินร่องกล้า (คู่หูเดินทาง)

ไม่ไกลจากทุ่งหมอกและทะเลกะหล่ำแห่ง ภูทับเบิก คือที่ตั้งของ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางอุดมการณ์ของชนชาติไทยที่สำคัญในอดีต

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อสามจังหวัด คือ พื้นที่อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย พื้นที่อำเภอนครไทย ของจังหวัดพิษณุโลก และพื้นที่อำเภอหล่มสัก ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ถือเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย จึงไม่แปลกที่ ภูหินร่องกล้า จะประกอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามอลังการ มากมาย อาทิ..


ลานหินแตก

เป็นลานหินขนาดใหญ่กินอาณาบริเวณกว้างขวางถึง 40 ไร่ ลักษณะของลานหินเสมือนรอยแตกเป็นแนวร่อง เหมือนแผ่นดินที่แยกออกจากกัน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลกในอดีต จึงทำให้พื้นหินบริเวณนี้แตกออกเป็นแนว บางร่องบางรอยมีขนาดไม่กว้างนัก พอก้าวข้ามไปได้ ขณะที่บางรอยกว้างจนไม่สามารถจะกระโดดข้ามได้

บริเวณ ลานหินแตก ยังถูกปกคลุมไปด้วยพืชตระกูลมอส ไลเคน ตะไคร่ เฟิร์น ต้นกระดุมเงิน ดอกไม้ป่า และกล้วยไม้สีสันสดสวยแปลกตามากมาย ให้ชมผลัดเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาลอีกด้วย ลานหินแตก ตั้งอยู่ห่างจากฐานพัชรินทร์ ประมาณ 300 เมตร


ลานหินปุ่ม

ลักษณะสัณฐานคล้ายกับ ลานหินแตก ทว่าความแปลกประหลาดที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นนั้น ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คือ ไม่ได้แตกเป็นร่องลึกแต่นูนโค้งเป็นทรงกลมบ้าง ครึ่งวงกลมบ้าง ไม่ก็รีเรียวบิดเบี้ยวบ้าง คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน มาเป็นระยะเวลานับพันนับหมื่นปีแล้ว ลานหินปุ่มตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร ทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผา ลมพัดเย็นสบาย มองลงไปเป็นผืนป่ากว้างสุดสายตา เหมาะสำหรับการหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะบรรยากาศยามเย็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ถือว่าเป็นช่วงที่สวยช่วง นึ่งของที่นี่เลยก็ว่าได้ แต่อย่าชมกันจนเพลินหล่ะ เผื่อเวลาไว้สำหรับตอนเดินกลับออกไปยังลานจอดรถด้วย ประมาณ 1 กิโลเมตรเห็นจะได้ และยิ่งในช่วงหน้าหนาว ท้องฟ้าจะมืดไว้มากควรพกไฟฉายติดตัวไว้อุ่นใจแน่นอน


ผาชูธง

เป็นจุดที่ตั้งอยู่ห่างออกจาก ลานหินปุ่ม อีกเพียง 500 เมตร ลักษณะเป็นเพิงผาสูงชัน สามารถมองทิวทัศน์บริเวณโดยรอบได้เกือบ 360 องศา เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง ที่เหมาะสำหรับการมานั่งรอชมบรรยากาศอาทิตย์ลับขอบฟ้า (แต่ควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากมีพื้นที่แคบ) ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ที่กลุ่ม ผกค. ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่ทำการรบชนะฝ่ายรัฐบาล ปัจจุบันทางอุทยานฯ ได้นำธงชาติไทยขึ้นไปปักปันไว้แทน

นอกจากนี้ ภายในบริเวณอุทยานฯ ยังประกอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิเช่น พิพิธภัณฑ์ การสู้รบ, โรงเรียนการเมืองการทหาร, กังหันน้ำ, สำนักอำนาจรัฐ, โรงพยาบาลรัฐ, ลานอเนกประสงค์, สุสาน ทปท., ที่หลบภัยทางอากาศ และหมู่บ้านมวลชน เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาการสู้รบ และแนวคิดทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ระหว่างคนไทยด้วยกันเองในอดีต

ในส่วนของที่พักและร้านอาหาร ทางอุทยานฯ ได้ทำการก่อสร้างอาคารบ้านพักและร้านอาหารไว้อย่างสวยงาม ภายใต้ร่มเงาของป่าสนสองใบและสามใบ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอจองบ้านพักได้โดยตรงกับสำนักงานอุทยานฯ และทางเว็บไซต์

ภูหินร่องกล้า ถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีการจัดการ การท่องเที่ยวได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของไทย ซึ่งนั่นน่าจะทำให้ทริปการเดินทางครั้งหน้า ของชาวคู่หูเดินทางทุกท่าน จบลงได้อย่างสวยงามและน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง

TIPS รู้ก่อนเที่ยว

รถยนต์ส่วนตัว

เส้นทางจากกรุงเทพฯ (ห้างฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต) ใช้ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี ประมาณ 75 กิโลเมตร จะถึงตัวเมืองสระบุรี จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่จังหวัดลพบุรี ประมาณ 16 กิโลเมตร สู่ภูทับเบิก จากเพชรบูรณ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 21 ประมาณ 40 กิโลเมตร ถึงสี่แยกหล่มสัก ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 203 อีก 13 กิโลเมตร พบป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า ตามทางหลวง 2011 และทางหลวงหมายเลข 2331 อีก 40 กิโลเมตร ถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จากตรงนี้มีทางแยกขวาเข้าหมู่บ้านทับเบิกไปอีก 6 กิโลเมตร เส้นทางจากหล่มเก่ามาภูทับเบิกจะสูงชันและคดเคี้ยวมาก รถบัสไม่สามารถขึ้นได้ ผู้ที่ใช้รถยนต์หรือรถตู้ ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง

รถประจำทาง

นั่งรถโดยสาร บขส. กรุงเทพฯ – หล่มสัก ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง มาลงที่หล่มสัก หลังจากนั้นเหมาสองแถวที่อยู่บริเวณหล่มสักเพื่อขึ้นสู่ภูทับเบิก อัตราค่าจ้างประมาณ 1,200 บาท หรือแล้วแต่ตกลง สอบถามข้อมูลรถสองแถว โทรศัพท์ 08-6119-1092 สอบถามตารางเวลาเดินรถ บขส. ที่ Call Center 1490 เรียก บขส.
ที่มา : http://travel.kapook.com/view19972

หนาวลม ชมวัฒนธรรม ดื่มด่ำธรรมชาติ ที่เมืองเลย





หนาวลม ชมวัฒนธรรม ดื่มด่ำธรรมชาติ ในบรรยากาศ 'เมืองเลย...' (คู่หูเดินทาง)

รับลมหนาวเช้าปีใหม่ในเมือง "เลย"
สัมผัสหนาวเช้าปีใหม่ ไป "เลย" เถิด
หนาวลม ชมวัฒนธรรม ดื่มด่ำธรรมชาติ ที่เมืองเลย

ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า และเริ่มเคานท์ดาวน์รับเช้าวันปีใหม่ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการออกไปไล่ล่าไขว่คว้าหาลมหนาวแห่งฤดูกาล อันยากจะพานพบได้ในกรุงเทพฯ ที่ความหนาวเดินทางมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดนี้ และเมื่อนึกถึงแดนดินถิ่นหนาวของไทยเรา จังหวัดเลยย่อมมาเป็นอันดับแรก และอยากจะบอกว่า จังหวัดเลย ไม่ได้มีเพียงภูกระดึง หรือเชียงคานเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งเราอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้ลองไปเที่ยวชมดู

ก่อนอื่นเรามารับทราบข้อมูลจังหวัดเลยกันสักนิด จังหวัดเลย เป็นจังหวัดชายแดน ตั้งอยู่เกือบจะเหนือสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศลาว ภูมิประเทศประกอบไปด้วยภูเขาใหญ่น้อยประมาณร้อยละ 70 มีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกปกคลุมอยู่เสมอ อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 550 กิโลเมตร

เราออกเดินทางจาก กทม.ในช่วงสายๆ ของ 3-4 วันสุดท้ายปลายเดือนธันวาคม มุ่งหน้าสู่จังหวัดเลย "เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู" และถึงที่นั่นในตอนค่ำ ได้สัมผัสกับความหนาวจัดในทันทีที่ไปถึง หลังจากหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในวันใหม่เราจึงไปนมัสการ พระธาตุศรีสองรัก อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อนออกตระเวนล่าหาบรรยากาศ "หนาวที่สุดในประเทศไทย" จากสถานที่ต่างๆ ของจังหวัดเลยกันต่อไป

วัดพระธาตุศรีสองรัก

ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอด่านซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวเมืองจังหวัดเลย 83 กิโลเมตร ตามทางหลวง 203 แยกขวากิโลเมตรที่ 66 เข้าทางหลวง 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายแล้วแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตร

พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือ เวียงจันทร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ในสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ รุกรานดินแดนต่าง ๆ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกันระหว่างไทยและลาว และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้ายจะร่วมกันจัดงานสมโภช โดยนำต้นผึ้ง (ประดิษฐ์จากโครงไม้ไผ่เป็นทรงหอปราสาทขนาดกว้าง 2 ฟุต สูง 2 ฟุตเศษ กรุรอบด้วยลวดลายงานแทงหยวกจากนั้นประดับด้วยแผ่นเทียนกลม ๆ บาง ๆ จับเป็นกลีบดอก ตรงกลางติดดอกบานไม่รู้โรย หรือขมิ้นหั่นเล็ก ๆ ) มาถวาย เป็นประเพณีประจำปี

ไม่ควรนำสิ่งของ ดอกไม้สีแดง หรือแต่งกายด้วยชุดสีแดงขึ้นไปนมัสการพระธาตุศรีสองรัก เพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเลือด สงครามและความรุนแรง ไม่ควรกางร่ม สวมหมวกและสวมรองเท้าขึ้นไปบนพระธาตุ ไม่ควรนำเด็กต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปนมัสการ





















วัดเนรมิตวิปัสสนา

ซึ่งอยู่บนเนินเขาห่างจากพระธาตุศรีสองรักษ์ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ เป็นวัดที่มีพระอุโบสถทำจากศิลาแลงที่สวยงาม มีการจัดแต่งสวนต้นไม้ไว้อย่างร่มรื่นโดยรอบ ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธราชชินราชจำลอง และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างเขียน ชาวด่านซ้าย สร้างขึ้นในสมัยที่หลวงพ่อมหาพัน หรือพระครูภาวนาวิสุทธิญาน เจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาหลังจากที่ท่านได้มรณภาพลงแล้วปรากฏว่าสังขารของท่านมิได้เน่าเปื่อย ทางวัดจึงได้จัดสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐานร่างของท่านไว้เป็นที่สักการะบูชาด้านหลังพระอุโบสถ

วัดเนรมิตวิปัสสนา เป็นวัดปฏิบัติธรรมที่สำคัญของจังหวัดเลยแห่งหนึ่ง ได้รับเลือกจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่น ประจำปี 2552
















พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน

ผีตาโขนเป็นการละเล่น ในงานประเพณีบุญพระเวสและงานบุญบั้งไฟ ในช่วงเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน ที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอีสาน แต่ทุกวันนี้ก็หาชมได้ยาก ที่ยังเหลืออยู่และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศคือ ผีตาโขนที่ อ. ด่านซ้าย อันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเลย

การเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 203 เส้นเลย-ภูเรือ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายจากนั้นแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตรผ่านวัดพระธาตุศรีสองรัก จากนั้นขับตรงไปถึงที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย เดินทางตรงมาอีกผ่าน สภอ.ด่านซ้าย และตลาดด่านซ้าย เลยสะพานข้ามไปเล็กน้อยจะเห็นวัดโพนชัยอยู่ทางซ้ายมือ พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนตั้งอยู่ภายในวัดโพนชัย จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองด่านซ้าย สาธิตทำหน้ากากผีตาโขนและสินค้าของที่ระลึกผีตาโขนในรูปแบบต่างๆ สามารถเข้าชมและเลือกซื้อสินค้าได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. นอกจากนี้ยังมีอุโบสถ ซึ่งเป็นฝีมือของช่างท้องถิ่น และพระธาตุศรีสองรักจำลอง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานบุญพระเวสและงานบุญต่าง ๆ รวมทั้งการจัดงานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขนอีกด้วย สอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอด่านซ้าย โทร. 0 4289 1094






















อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย

ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย สามารถเดินทางจากตัวจังหวัดโดยใช้เส้นทางหมายเลข 203 ระยะทาง 68 กิโลเมตร ถึงทางแยกบ้านโคกงามเลี้ยวขวาตามเส้นทางหมายเลข 2031 ระยะทาง 12 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้าย เลี้ยวขวาตามเส้นทางหมายเลข 2113 ไปอีก 32 กิโลเมตร ถึงอำเภอนาแห้ว จากอำเภอนาแห้วเดินทางต่ออีก 4 กิโลเมตร ถึงบ้านเหมืองแพร่ เลี้ยวซ้ายตามเส้นทาง หมายเลข1268 ผ่านตำบลแสงภา และเลี้ยวขวาตามทางแยกบนทางหลวงหมายเลข 1268 หลักกิโลเมตรที่ 0 อีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย(นาแห้ว)

อุทยานแห่งชาติภูสวนทรายมีสภาพเป็นขุนเขาสูงสลับซับซ้อน และผืนป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวจัดจึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาสัมผัสอากาศหนาวเย็น ด้วยการกางเต็นท์นอนชมดาวกันทุกปี โดยมีเนิน 1408 เป็นจุดสูงสุดบนภูตีนสวนทราย มีความสูง 1,408 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูที่สวยมาก ในยามเช้าของฤดูหนาว จะเห็นทะเลหมอกที่งดงาม บริเวณนี้มีที่ราบสันเขาเหมาะที่จะกางเต็นท์พักผ่อน เป็นลาน กางเต็นท์ที่สูงที่สุดในภาคอีสาน

จากทางขึ้นภูสวนทรายโดยเริ่มที่ ที่ทำการอุทยานฯ สามารถชมฟาร์มเต่าปูลู เป็นเต่าที่ไม่สามารถหดหัวได้เหมือนเต่าชนิดอื่นๆ หัวและปากคล้ายกับนกแก้ว เป็นเต่าชนิดมีหางยาว อุปนิสัยชอบเก็บตัวเงียบ ๆ และไม่ชอบเสียงดัง .. หลบซ่อนและพรางตัวในซอกหินตามลำธาร ซึ่งพบได้ที่นี่เท่านั้น

เราขับรถขึ้นภูต่อไปผ่านหมู่บ้านห้วยน้ำผักระยะหนึ่งก็มาถึง น้ำตกตาดเหือง หรือน้ำตกมิตรภาพไทย – ลาว อยู่ในลำน้ำเหือง เป็นแม่น้ำแบ่งเขตพรมแดนระหว่างประเทศไทย – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีลักษณะลดหลั่นกัน 3 ชั้น สูงประมาณ 50 เมตร กว้าง 25 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี สภาพป่าบริเวณรอบๆ มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม เหมาะสำหรับการพักผ่อนชมธรรมชาติริมน้ำเท่านั้น โดยมีป้ายห้ามลงเล่นน้ำ เพราะน้ำไหลแรงและวน อาจเป็นอันตรายได้ อีกทั้งยังกำหนดเวลาให้เข้าไปเที่ยวชมระหว่าง 08.00 – 17.00 น. เท่านั้น

จากนั้นเราก็ออกเดินทางเพื่อมาหมู่บ้านบ่อเหมืองน้อยชมการทำไร่สตรอเบอรี่และถั่วแมคาเดเมีย แหล่งผลิตหนึ่งเดียวในอีสาน ซึ่งรสชาติเมื่อเก็บจากต้นสดๆ ใหม่นั้น เปรี้ยวอมหวานอร่อยประทับใจมากชนิดที่จะหาแบบนี้ได้ในกรุงเทพฯยากยิ่ง ที่นี่ยังมีบริการโฮมสเตย์ให้พักสัมผัสวิถีชาวบ้านด้วย ค่าบริการห้องพักต่ำกว่า 500 บาท/คน/คืน รวมอาหาร 3 มื้อ จุดเด่นของที่พักคือแยกเป็น....ส่วน ในบรรยากาศโอบล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศเย็นสบาย ท่ามกลางสวนผลไม้เมืองหนาว อาทิ แมคคาเดเมีย สตรอเบอรี่ อะโวคาโด และผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ ฤดูการท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาว พ.ย.- กพ. มีผักผลไม้เมืองหนาวให้รับประทาน อาทิ สตรอเบอรี่ มะคาเดเมีย เห็ดหอม บอคเคอรี่ มิย. - กย. มีพลับ อะโวคาโด หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ 089-8411374, 03-3406488

เมื่อชิมสตรอเบอรี่สดจนอิ่มหนำสำราญแล้วเราก็เดินทางมาชมความตระการตาของภูไทย – ลาว ภูไทย – ลาว หรือภูหัวห้อม อันเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวเขาอันงดงามของประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้อย่างชัดเจน

สำหรับบริการที่พักบนภูสวนทรายนี้ ท่านสามารถจองได้ด้วยตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่www.dnp.go.th ของกรมเท่านั้น ไม่มีตัวแทนภาคเอกชนรายใดทั้งสิ้น โดยจองล่วงหน้าได้ 60 วัน จองต่อเนื่องได้ครั้งละ 3 วัน กำหนดชำระเงินภายใน 2 วันทำการ ณ เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศหรือโทร0 2562 0760












วัดศรีโพธิ์ชัย

เพื่อเป็นการอำลาภูสวนทรายและรับศิริมงคลในการเดินทางข้างหน้าต่อไป วัดนี้เป็นวัดที่ ททท.ถ่ายภาพยนตร์โฆษณาโปรโมทการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งนั่นเอง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ อายุกว่า 400 ปีมาแล้ว ภายในวัดมีพระพุทธรูปโบราณคู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคน มีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและวรรณกรรมท้องถิ่นที่ผนังด้านทิศเหนือมีจารึกว่าภาพเขียนดังกล่าวเขียนขึ้นเมื่อจุลศักราช 1214 ตรงกับพ.ศ. 2395 ตรงกับช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและที่ด้านนอกพระอุโบสถหลังเดียวกันนี้ยังมีภาพจิตรกรรม ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยหลังคือเมื่อปี พ.ศ. 2459 นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย






















อุทยานแห่งชาติภูเรือ

ซึ่งมีอาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว มีรูปพรรณสันฐานเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูง โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกละอองขาว และป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยมียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นหน้าผาสูงชัน พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบ สลับกับลานหินธรรมชาติ มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "แม่คะนิ้ง" ผู้ที่จะไปพักผ่อนจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น จากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามได้รอบด้านกระทั่งเห็นแม่น้ำเหือง และแม่น้ำโขง ซึ่งกั้นพรมแดนไทย – ลาว บนยอดภูเรือยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพต ซึ่งชาวภูเรืออัญเชิญมาจากอยุธยาด้วย จากยอดภูเรือมีเส้นทางเดินป่าผ่านบริเวณที่มีดอกไม้เล็กๆ เช่น กระดุมเงิน ดาวเรืองภู เปราะภู ซึ่งออกดอกสวยงามในช่วงหน้าหนาว ที่ป่าสนบริเวณ ทุ่งกวางตาย มีดอกกระเจียวบานในช่วงต้นฤดูฝนราวเดือนพฤษภาคม นอกจากนั้นยังมี ลานหินพานขันหมาก เป็นลานหินแตกเป็นรอยตื้นๆ ที่จะพบดอกไม้ที่ชอบขึ้นตามลานหิน เช่น เอื้องม้าวิ่ง อยู่ทั่วไป เส้นทางเดินป่าจะวกกลับไปลานกางเต็นท์ในบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามของภูเรือมีชื่อว่า ผาโหล่นน้อย สามารถมองเห็นยอดภูต่างๆ ที่รายล้อมอยู่ เมื่อรวมกับเมฆหมอกในยามเช้าแล้ว จึงดูเหมือนทะเลภูเขามาก

นอกจากนี้ทางอุทยานฯ ได้จัดเตรียมบ้านพักไว้ให้บริการในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ จำนวน 7 หลัง พร้อมสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการ การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง ที่ โทร 0 4288 1716, 0 4288 4144

สำหรับอัตราค่าบริการอยู่ระหว่าง 250-800 บาท กรณีที่นำเต็นท์ไปกางเอง ต้องเสียค่าบริการสถานที่ 30 บาท/คน/คืน หากไม่มีเครื่องนอนสามารถใช้บริการเครื่องนอนและอุปกรณ์สนามของอุทยานฯ ได้ในอัตราค่าบริการ ราคา 150-200 บาท/ชุด/คืน
















วัดโพธิ์ชัยนาพึง

ที่นี่ก็เป็นอีกวัดเก่าแก่ที่มีสิ่งน่าสนใจ คือหอพระไตรปิฎกไม้เก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหอพระไตรปิฎกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ภายในวิหารของวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นเมืองที่งดงาม มีพระพุทธรูปชื่อว่า พระเจ้าองค์แสน หรือพระฝนแสนห่า เพราะมีเรื่องเล่ากันว่าพระพุทธรูปนี้อยู่ที่ใดที่นั่นฝนจะไม่แล้งเลย โบสถ์, วิหาร และพระพุทธรูปที่วัดแห่งนี้ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่ามีอายุกว่า 400 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นโบราณสถานที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย






















สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ

ตั้งอยู่ตำบลปลาบ่า ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถานีทดลองปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าทดลอง เผยแพร่ออกไปให้แก่เกษตรกร สถานีทดลองเกษตรที่สูงแห่งนี้ โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ของภูเขาสูง และอากาศที่หนาวเย็น นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชม ศึกษาแปลงทดลองการเกษตรภายในสถานีฯ ได้ โดยมีจุดที่น่าสนใจได้แก่ แปลงไม้ดอกเมืองหนาว อันถือเป็นจุดเด่นของสถานีฯ ทีเดียว เนื่องจากเนื่องจากจุดที่ตั้งของสถานีฯเป็นจุดที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ ประดับเมืองหนาวได้มากมายหลายชนิด เทียบเท่ากับพื้นที่ทางเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย แต่ที่นี่จะพิเศษกว่าตรงที่หนาวก่อน และหนาวยาวนานกว่า จึงสามารถจะมาเที่ยวชมความงามของดอกไม้ประดับเมืองหนาวที่นี่ได้ก่อน และระยะเวลาในการบานอวดสีสันของบรรดาไม้ดอกเหล่านี้ก็จะอยู่คงทนต่อไป จนถึงราวเดือนมีนาคมเลยทีเดียว นอกแปลงไม้ดอกเมืองหนาวแล้ว ก็มี ทุ่งซัลเวียและแปลงรวบรวมไม้ผลเมืองหนาว, แปลงไม้กฤษณา, สวนไม้หอมเฉลิมพระเกียรติ, แปลงสตรอเบอรี่, แปลงมะคาเดเมีย, โรงเรือนเพาะชำไม้กระถาง

สถานีฯ มีบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยว ได้ 2 หลัง แต่ละหลังพักได้ตั้งแต่ 6-10 คน มีที่กางเต็นท์ ตรงบริเวณลานสนสาใบ อยู่ไม่ไกลจากอาคารสำนักงานมากนัก สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 100 คน มีโรงครัวกลางขายอาหารตามสั่ง ทั้งนี้หากไปในช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ ควรติดต่อไปล่วงหน้า ที่ โทร 042-891199, 042-891398
















วัดป่าห้วยลาด

ในเขตอำเภอภูเรือ เพื่อขอพรปีใหม่ ให้เป็นปีที่สดใสสำหรับเราและผู้อ่านทุกท่านก่อนกลับสู่กรุงเทพฯ วัดป่าห้วยลาด ตั้งอยู่บนเส้นทาง เลย-ด่านซ้าย ในระยะทางห่างจากอำเภอภูเรือมาทางทิศตะวันออก 7 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดเลย 42 กิโลเมตร ถือเป็นพุทธมณฑลของจังหวัดเลย เดิมเป็นสำนักสงฆ์ที่ก่อตั้งโดยหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จากสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต่อมาพระอาจารย์อุทัย ได้ธุดงค์ผ่านมาพบว่าเป็นสถานที่ควรแก่การทำนุบำรุงยกระดับให้เป็นวัดที่มั่นคงสืบไป จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง มาจำพรรษาเพื่อพัฒนาที่นี่ ในปี 2549 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ทางวัดจึงได้จัดสร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติ บุญญสิริ ถวายเป็นพระราชกุศล และเพื่อให้เป็นพุทธมณฑลแห่งจังหวัดเลย เป็นศูนย์กลางศึกษาและเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชนทั่วไป นับว่าเป็นวัดที่มีความสงบร่มรื่นเหมาะแก่การปฎิบัติธรรมเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าจังหวัดเลยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่นว่าหากท่านผู้อ่านจะเลยไปเที่ยวเชียงคานต่อ หรือ สวนหินผางามที่อำเภอหนองหิน พระธาตุสัจจะ ที่อำเภอท่าลี่ หรือไปข้ามสะพานมิตรภาพแม่น้ำเหือง ไทย-ลาว ฯลฯ ก็ย่อมทำได้ถ้าท่านมีเวลาพอ แต่สำหรับคู่หูเดินทางเรามีหน้ากระดาษจำกัดเพียงเท่านี้ จึงต้องขอยกเรื่องราวที่น่าสนใจในจังหวัดเลยไว้ในโอกาสต่อไป

TIPS การเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว

เส้นทางที่ 1 : จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านตัวเมืองสระบุรี จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ ถึงตัวเมืองเลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง

เส้นทางที่ 2 : จากจังหวัดสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดขอนแก่น รวมระยะทาง 536 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 201 เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอ ภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวเมืองเลย รวมระยะทาง 540 กิโลเมตร

รถโดยสารประจำทาง

บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง รายละเอียดสอบถามที่สถานีขนส่ง หมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 โทร. 0 2936 2841-8, 0 2936 2852-66 หรือ www.transport.co.th

นอกจากนั้นยังมีบริษัทเดินรถเอกชนที่วิ่งบริการ ได้แก่ บริษัท แอร์เมืองเลย จำกัด กรุงเทพฯ
โทร. 0 2936 0142 สาขาเลย โทร. 0 4283 2042 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุมแพ ทัวร์ กรุงเทพฯ โทร. 0 2936 3842 สาขาเลย โทร. 0 4283 2285 บริษัท เพชรประเสริฐ จำกัด กรุงเทพฯ โทร. 0 2936 3230 สาขาอำเภอภูเรือ โทร. 0 4289 9386 สาขาอำเภอด่านซ้าย โทร. 0 4289 1908

ที่มา : http://travel.kapook.com/view36399