วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

หนาวนี้ไป อุทยานแห่งชาติภูเรือ



อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย อาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว รูปพรรณสันฐานของภูเรือมีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูงเป็นภูผาสีสันสะดุดตาหินบางก้อนมีลักษณะเหมือนถูกปั้นแต่งไว้ ชาวบ้านเรียกว่า “กว้านสมอ” โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ใกล้เคียงเป็นฝ้าขาวด้วยละอองน้ำ หมอก ปกคลุมไว้ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 120.84 ตารางกิโลเมตร

ในปี พ.ศ. 2519 อธิบดีกรมป่าไม้ เดินทางมาราชการที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง นายสุจินต์ เพชรดี ปลัดจังหวัดเลย ได้ให้ความเห็นว่า ควรส่งเสริมป่าภูเรือให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด จากนั้นจังหวัดเลยจึงให้ทางอำเภอภูเรือสำรวจพื้นที่ป่าภูเรือ ซึ่งอำเภอภูเรือได้รายงานถึงจังหวัดเลยว่า พื้นที่ป่าภูเรือมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามสำคัญหลายแห่ง เช่น ป่าไม้ น้ำตก ทิวทัศน์ เหมาะที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติได้ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเบื้องต้นของป่าภูเรือ ท้องที่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ปรากฏว่า ป่าแห่งนี้อยู่ในเขตป่าหมายเลข 23 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ให้รักษาไว้ให้เป็นป่าถาวรของชาติ

พื้นที่ป่าภูเรือประกอบด้วยทิวเขาสูง สลับซับซ้อนเรียงรายเป็นรูปต่างๆ น่าพิศวงสลับกับที่ราบเป็นบางส่วน สาเหตุที่ขนานนามว่า “ภูเรือ” เพราะมีภูเขาลูกหนึ่งมีชะโงกผายื่นออกมาดูคล้ายสำเภาใหญ่ และที่ราบบนยอดเขามีลักษณะคล้ายท้องเรือตลอดจนมีธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงาม เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ

กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2521 เห็นชอบให้กำหนดพื้นที่ป่าดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าภูเรือ ในท้องที่ตำบลอาฮี ตำบลท่าลี่ อำเภอท่าลี่ และตำบลลาดค่าง ตำบลหนองบัว ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 96 ตอนที่ 124 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2522

นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลภายในอุทยานได้ที่ เบอร์ : 088-509-5299 , 042-810965 สำหรับเบอร์โทรของสำนักงานอาจติดต่อไม่สะดวกเนื่องจากท้องฟ้าไม่เปิด และมีเมฆหมอกปกคลุม




ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อนประกอบด้วย เขาหินทรายเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นเป็นหินแกรนิตสลับกันไป ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้มีที่ราบสูงสลับกับ ยอดเขาสูงทั่วไป มียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูงถึง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยังมียอดเขาที่สำคัญ คือ ยอดเขาภูสัน มีความสูง 1,035 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และยอดภูกุ มีความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลักษณะเช่นนี้เองจึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญก่อให้เกิดลำธารหลายสาย เช่น ห้วยน้ำด่าน ห้วยบง ห้วยเถียงนา ห้วยทรายขาว ห้วยติ้ว และห้วยไผ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยไผ่ที่สวยงามแห่งหนึ่ง


ลักษณะภูมิอากาศ
ด้วยอุทยานแห่งชาติภูเรืออยู่ที่จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศไทย และอยู่บนยอดเขาสูง จึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” ผู้ที่จะไปพักผ่อนควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น


พืชพรรณและสัตว์ป่า
ภูเรือ มีสภาพป่าหลายชนิดปะปนกันอย่างสวยงาม ทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบ ป่าสนเขา โดยเฉพาะยอดภูเรือ ประกอบด้วยป่าสนเขา สลับกับสวนหินธรรมชาติแซมด้วยพุ่มไม้เตี้ย สลับด้วยทุ่งหญ้าเป็นระยะ ไม้พื้นล่างที่พบโดยทั่วไป ได้แก่ต้นคำกร่าง กุหลาบป่า มอส เฟิน และกล้วยไม้ที่สวยงาม เช่น ม้าวิ่ง สามปอย ไอยเรศ เอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องเงิน ซึ่งขึ้นตามต้นไม้และโขดหิน กล้วยไม้เหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งให้ชมสลับกันไปตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ ป่าภูเรือยังมีสัตว์ป่าที่ชุกชุมพอสมควร ที่พบบ่อย เช่นกระต่ายป่า อีเห็น หมูหริ่ง หมี เก้ง กวางป่า หมูป่า หมาไน ลิง พญากระรอกดำ อ ไก่ป่า และชุกชุมไปด้วยกระต่ายป่า เต่าเดือย เต่าปูลูและนกชนิดต่างๆ ที่สวยงามอีกมากมาย โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะอพยพมาจากประเทศจีนเป็นจำนวนมาก

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บึงกาฬ สุขสำราญที่หนองคาย


เป็นธรรมดาของคนชอบเที่ยว ที่เมื่อมีอะไรใหม่ๆ ก็ต้องเห่อสักหน่อย อยากเอามาอวดสักนิด อย่างจังหวัดน้องใหม่‘บึงกาฬ' จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย ที่เพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นจังหวัดเมื่อต้นปีที่แล้วนั้น ก็เป็นสถานที่ที่ยังไม่ได้ไปเยือนสักครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที จนเมื่อพี่ที่น่ารักจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธนาคารกสิกรไทย และนิตยสารท่องเที่ยวโวยาจ จัดทริปพาลูกค้าผู้อ่านและสมาชิกนิตยสารโวยาจ ไปม่วนซื่นให้สุดใจ หอบหัวใจไปอีสาน ในทริป 'สุขละไมในบึงกาฬ สุขสำราญที่หนองคาย' กันแบบเต็มอิ่ม ซึ่งผมเลยโชคดีเหมือนถูกหวย ได้เดินทางไปเยือน บึงกาฬ พร้อมได้เที่ยวจังหวัดหนองคายควบคู่ไปด้วย ช่างเป็นความสุขเหมือนฝันไปจริงๆ

ด้วยบึงกาฬเป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สุดของประเทศ ระยะทางจึงค่อนข้างไกลถึงไกลมาก หากขับรถไปเองต้องใช้เวลาเดินทางนานเป็นสิบชั่วโมง แต่ครั้งนี้เราเดินทางไปบึงกาฬกาฬแบบสะดวกรวดเร็ว โดยนั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมือง ไปลงจังหวัดอุดรธานี ประหยัดเวลาได้มากโข ก่อนนั่งรถบัสคันโตออกเดินทางไปจังหวัดบึงกาฬ ในช่วงสายๆ





ระหว่างนั่งอยู่บนรถหลับแล้วหลับอีกหัวชนกันกับเพื่อนร่วมทริปอยู่หลายที เราก็ได้ฟังยินเสียงพี่ไกด์ประจำรถเล่าถึงความเป็นมาของ ‘บึงกาฬ' ประดับเป็นความรู้สำหรับการเดินทางทริปนี้ว่า จากเดิม บึงกาฬ เป็นเพียงอำเภอหนึ่งของจังหวัดหนองคาย แต่ด้วยจำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของพื้นที่เป็นแนวยาวทอดตามแม่น้ำโขง จึงมีผลต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน เพราะพื้นที่สามารถเชื่อมผ่านไปยังประเทศต่างๆ ในเขตอินโดจีน จึงมีอนาคตที่ดีที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดได้ ที่สำคัญยังเป็นผลดีต่อการให้บริการแก่ประชาชนที่อยู่ไกลจากตัวเมืองจังหวัดหนองคาย เดิมทีเวลาประชาชนเข้ามาติดต่อราชการ หรือทำธุระในตัวจังหวัด ต้องถึงขั้นนอนค้างอ้างแรมกันเลยทีเดียว





เมื่อหันไปมองวิวข้างทาง เราเห็นสวนยางพาราเต็มพรืดไปหมด ตอนแรกก็ต๊กกะใจคิดว่ากำลังเดินทางไปภาคใต้หรือเปล่าหว่า หรือเอ๊ะเรามาผิดจังหวัดก็ไม่ใช่ เอามือขยี้ตาดู เอานิ้วมือบิดตัวเอง ก็ไม่ได้ฝันไป พี่ไกด์ที่มาด้วยเลยบรรยายต่อว่า สภาพภูมิประเทศของ ‘บึงกาฬ' เป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุ่มชื้น อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ต่างจากพื้นที่อื่นๆ ในภาคอีสานอย่างประหลาด ภูมิประเทศอยู่ในตำแหน่งดี ใกล้อ่าวตังเกี๋ยของประเทศเวียดนามมากที่สุด จึงมีพายุฝนจากอ่าวตังเกี๋ยพัดเข้ามาถึงเกือบตลอดทั้งปี รวมทั้งได้รับอิทธิพลความชุ่มชื้นจากป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศลาวตลอดแนวลำน้ำโขง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นที่จังหวัดบึงกาฬไม่เคยแล้งเลย สังเกตได้จาก ห้วย หนอง คลอง บึง กุด(ลำนำโค้ง) ที่มีอยู่มาก โดยปัจจุบันได้มีการนำต้นยางพาราไปปลูกให้เป็นพืชเศรษฐกิจซึ่งได้ผลดีเป็นอย่างมากและเป็นผลผลิตส่งออกอันดับต้นๆ ของจังหวัดนี้เลยทีเดียว





ไม่นานนักเราก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์เด็ดของบึงกาฬ นั่นคือ "วัดภูทอก" หรือ "วัดเจติยาคีรีวิหาร" ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญธรรมของภิกษุ-สามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป มีความเงียบสงบ สวยงามด้วยธรรมชาติแวดล้อม แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์ทางธรรม โดยมี "พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ" เป็นผู้ก่อตั้ง อยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 50 กิโลฯ วัดภูทอก อยู่ในพื้นที่บ้านคำแคน ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล ภูทอกมี 2 ลูก คือ ภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย ส่วนที่นักแสวงบุญและนักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถชมได้คือ ภูทอกน้อย ส่วนภูทอกใหญ่อยู่ห่างออกไป ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวชม สถานที่สะอาดสะอ้าน


ทริปนี้เราได้ไกด์กิติมศักดิ์อย่าง นางพัฒน์มาศ วงศ์พัฒนศิริ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมนางธัญภา นิโครธานนท์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุดรธานี นำทีมนักท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์พาชมแหล่งท่องเที่ยวด้วยตัวเอง




จุดเด่นของภูทอกก็คือ สะพานไม้และบันไดขึ้นชมทัศนียภาพรอบๆ ภูทอก แบบ 360 ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปีเต็ม จากชั้น 1 - ชั้นที่ 7 จะมีบันไดไม้ให้เดินแบบตรงทอดยาวจนถึงจุดสูงสุดของยอดภูทอก และตั้งแต่ชั้นที่ 3 เป็นต้นไปนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมแบบสะพานเวียนรอบเขา ซึ่งจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างไปเรื่อยๆ ในแต่ละย่างก้าว ในชั้นที่ 5 ถือว่าเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด จะมีศาลาขนาดใหญ่ พระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บศพของพระอาจารย์จวนด้วย พื้นที่สะอาดกว้างขวาง ดูแล้วร่มเย็นมาก เหมาะสำหรับการนั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมสำหรับนักแสวงบุญ หรือผู้ที่ใฝ่หาความสงบ ตลอดตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายจุด เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ มีที่ให้นั่งพักสำหรับความอ่อนล้าระหว่างทางเดินเป็นระยะ ถ้าเดินมาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกและน่าอัศจรรย์ที่สุด คล้ายๆ กับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า คือ เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่างได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา ในเส้นทางสู่ชั้นที่ 6 จะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด





ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมาทำให้ในบางครั้งเวลาเดินเราต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุดก็จะมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ในช่วงฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกลอยอยู่รอบๆ ยอดเขา ทำให้เหมือนอยู่บนสวรรค์ สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาคซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือ มีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหิน และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังอยู่เกือบตลอดปี ในส่วนชั้นที่ 7 จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก 2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7 ทางแรกเป็นทางชัน ต้องเกาะเกี่ยวกิ่งไม้และรากไม้เดินลำบาก แถมยังมีป้ายบอกให้ "ระวังงู" ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอยู่มากบนยอดภูแห่งนี้ด้วย ควรใช้อีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางอ้อมต้องเดินเวียนไปทางขวามือ แต่ก็จะมาบรรจบกันด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม่ทึบธรรมดา มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่





กลับมาถึงที่พักในตัวเมืองบึงกาฬ เราได้พิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งมีขึ้นเพื่อใช้ต้อนรับและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่แขกที่มาเยือนของชาวอีสาน โดยในการนี้นายพรศักดิ์ เจียรนัย ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬได้ให้เกียรติมาให้การต้อนรับคณะผู้เดินทางและร่วมรับประทานอาหารเย็น พร้อมทั้งแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและให้ข้อมูลที่น่าสนใจของจังหวัดบึงกาฬอีกด้วย


ทีมผู้อ่านและสมาชิกนิตยสารโวยาจ สนุกสนานกับดนตรีคาราโอเกะหลังอาหาร และร่วมเกมส์การละเล่นลุ้นรับของรางวัลมากมายจากทีมงาน





ด้วยอากาศเย็นสบายของเมืองริมแม่น้ำโขง ชวนให้เรานอนหลับฝันดีมาก เช้าวันนี้ทีมงานพาคณะของพวกเราหนองกุดทิง เพื่อร่วมกิจกรรม "ปล่อยปลา สุขใจที่แหล่งนํ้า ที่หนองกุดทิง" ร่วมปล่อยพันธุ์ปลาสู่แม่นํ้าโขงเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์สู่แหล่งนํ้า บึงกุดทิง พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับโลก (พื้นที่แรมซาร์) แห่งที่ 11 ของประเทศไทย มีพื้นที่ราว 22,000 ไร่ มีสัตว์น้ำอาศัยอยูมากกว่า 250 สายพันธุ์ มีปลาที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกถึง 20 สายพันธ์ มีนกพันธุ์ต่างๆกว่า40 ชนิด เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน ชื่นชมธรรมชาติในวันสบายๆ




อิ่มใจกับการทำบุญปล่อยปลาแล้ว ระหว่างเดินทางไปเชยชมจังหวัดหนองคาย เราแวะสักการะ หลวงพ่อใหญ่ วัดโพธาราม บ้านท่าใคร้ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของชาวบึงกาฬ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย โบกฉาบด้วยปูน ประดิษฐานอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2537 ชาวบ้านเชื่อกันว่าสักการะแล้วจะมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการงานและโชคลาภ



กินข้าวกลางวันกันแล้วยังเที่ยวไม่หนำใจ เราแวะชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักดีของนักท่องเที่ยว "แก่งอาฮง" หรือจุดชม "สะดือแม่น้ำโขง" ณ วัดอาฮงศิลาวาส ตำบลหอคำ เขตอำเภอเมืองบึงกาฬ ห่างจากตัวจังหวัด 21 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่จังสังเกตได้จากเมื่อมีวัสดุหรือซากไม้ขนาดใหญ่ลอยมาเมื่อถึงบริเวณนี้ สิ่งของต่างๆ จะหมุนวนอยู่ประมาณ 30 นาที จึงจะไหลต่อไป ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแม่น้ำโขง" มีความกว้างประมาณ 300 เมตร ในฤดูน้ำลด และมีความกว้างราว 400 เมตร ในฤดูน้ำหลาก สามารถมองเห็นแก่งได้ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งจะมีกลุ่มหินที่ปรากฏบริเวณแก่งอาฮง จะมีชื่อเรียกตามลักษณะของหิน เช่น หินลิ้น นาค หินปลาเข้ ถ้ำปลาสวาย นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ท่องเที่ยวชมหินสวยของบึงกาฬแล้ว ยังเป็นจุดชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ "บั้งไฟพญานาค" ในช่วงออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เป็นจำนวนมาก ในวันที่เราไปเยือน แม้น้ำในแม่น้ำโขงจะสูงมาจนมองไม่เห็นแก่งอาฮง แต่วิวทิวทัศน์และลมเย็นริมฝั่งโขง ก็สร้างความสนุกให้กับการเดินทริปนี้ไม่น้อยทีเดียว



เมื่อมาถึงหนองคาย เมืองริมแม่น้ำโขง เราก็ไม่พลาดไปตะลอนเที่ยว ล่องเรือชมสะพานมิตรภาพไทย-ลาวท่ามกลางวิวสองฝั่งโขง พักกายพักใจไปกับสายลมแสงเแดด โยนความเหนื่อยล้าทั้งหมดาไว้เบื้องหลัง อ้าแขนเปิดรับอากาศบริสุทธิ์และความงามเรียบของชีวิตผู้คนที่ดูกี่ครั้งก็มีเสน่ห์ชวนตรึงตราตรึงใจจริงๆ



วัดสุดท้ายที่หนองคาย เราแวะการกราบสักการะพระคู่บ้านคู่เมือง หลวงพ่อพระใส ณ วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของทั้งชาวไทยในเขตอีสานและประชาชนชาวลาวเป็นอย่างมาก เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสุกอันเป็นเนื้อทองคำ 92 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีพระพุทธลักษณะอันงดงาม โดยอัญเชิญมาจากประเทศลาว ตามตำนานเล่าว่า พระราชธิดา 3 พระองค์ของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ลาว เป็นผู้ทรงสร้างขึ้น โดยขนานพระนามให้เป็นพระพุทธรูปพระจำพระองค์ของแต่ละองค์ตามพระนามตนเอง คือ พระเสริม พระสุก และพระใส ตามลำดับ ได้มีการอัญเชิญมาจากประเทศลาวเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 ชนะสงครามกบฏเจ้าอนุวงศ์ แต่การเดินทางมีปัญหาทำให้แพที่อัญเชิญพระสุก เกิดแตกและจมหายลงไปในสายน้ำ จึงอัญเชิญมาได้เพียงพระเสริมและพระใสเท่านั้น ปัจจุบันพระเสริม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร



ไม่ไกลจากวัดโพธิ์ชัยมากนัก เราเดินทางไปเที่ยว ศาลาแก้วกู่ สถานที่ที่มีประติมากรรมที่ใหญ่โตอลังการงดงามแปลกตา ซึ่งเป็นประติมากรรมหลักธรรมคำสอนของศาสนาต่างๆ ที่รวบรวมไว้ ณ บริเวณสถานที่แห่งนี้ ด้วยหลักการที่ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ที่นี่จึงไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นสถานที่ของศาสนาใดๆ ศาลาแก้วกู่ ตั้งอยู่ ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ในพื้นที่ 42 ไร่ มีรูปปั้น มีทั้งเล็กใหญ่ สร้างขึ้นโดยนักพรตท่านหนึ่งชื่อว่า "ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์" หรือ "ปู่เหลือ" ผู้ผ่านการศึกษาด้านธรรมะมาจากสำนักอาศรมแก้วกู่ในเขตแดนลาว ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2513 เป็นปูชนียสถานเทวาลัยที่พุทธศาสนิกชนทั้งในภาคพื้นยุโรปและเอเชียเลื่อมใสมาก ปู่เหลือได้เสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม 2539 สานุศิษย์ได้นำผอบ (ผะ-อบ) แก้วใส่ร่างของท่านไว้ ตามความประสงค์ก่อนสิ้นชีวิต โดยได้สั่งสานุศิษย์ว่า อย่าฉีดยา อย่าเผา อย่าฝัง ให้ใส่ผอบแก้วไว้ ด้วยอัศจรรย์ ร่างของปู่เหลือไม่เน่าเปื่อย และเส้นผมของปู่เหลือ จะเป็นสีดำและเป็นสีขาวสลับสับเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ ปัจจุบันร่างปู่เหลืออยู่ภายในอาคารชั้นที่ 3 ของศาลาแก้วกู่ โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 - 18.30 น. ค่าเข้าชม ท่านละ 10 บาท



ปิดทริปอำลาเมืองริมโขงด้วยการไปชอปปิ้งของกินของฝากกันที่ ตลาดท่าเสด็จ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมือง เป็นตลาดนานาชาติของภูมิภาคอินโดจีน เป็นที่รวมของสินค้านำเข้าของเพื่อนบ้านจากลาว จีน เวียดนาม ที่มีมากมายหลายหลาก ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารแห้ง อาหารแปรรูป และข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องครัว ฯลฯ พร้อมเดินทางกับถึงที่หมายด้วยความประทับใจไม่ลืมเลือน


ที่มา : www.sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

เพลินวาน ท่องเที่ยววันวานที่หัวหิน

ถ้าเอ่ยถึงหัวหิน ทุกท่านก็คงจะนึกถึงทะเล หาดทราย และสายลม มาเป็นอันดับแรก แต่ที่นี่เค้าไม่ได้มีดีแค่นี้นะ แต่เค้ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่ให้ทุกท่านได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ ที่มีเอกลักษณ์สวยงาม ใครที่ชอบแอ็คชั่นถ่ายภาพสวยๆ ต้องที่นี่เลย "เพลินวาน"



คำว่า เพลินวาน มาจาก "Play and Learn และคำในวันวาน "จากจุดเริ่มต้นที่มาจากความรักและคิดถึงหัวหินในวันก่อน เพลินวานจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางจุดหมายการเดินทางแห่งใหม่ของคนหัวหินและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เพลินวานคือ... "ศูนย์รวมความสุข สถานที่... หยุดเวลาในอดีตไว้ เพื่อเล่าขานเรื่องราวมากมายของวิถีหัวหินกาลก่อน ...สู่กาลปัจจุบัน" นอกจากนี้ท่านยังจะได้เพลินตากับแฟชั่นเปรี้ยวๆ...วันวาน ห้องเสื้อไฉไลหอมกลิ่นไอ รสละมุนของ กาแฟคลาสสิค และข้าวอุ่น แกงร้อน.. อาหารเลื่องชื่อตำรับหัวหิน



ร้อนนัก...พักร้อน ลิ้มรสหวานเย็นให้ชื่นใจของเล่นวัยเด็ก...ความสุขเล็ก ๆ ที่ไม่เคยลืมเลือน เลือกซื้อเทปคาสเซทเพลงเพราะๆ ของวันวานวิดีโอหนังรักวัยหวาน ใบปิดหนังดังรวมดารา...ให้เลือกสะสมย้อนยุคบรรยากาศเก่าๆ ดูหนังดัง...กางแปลงโฟโต้...กับมุมเก่าๆชวนให้คิดถึงพร้อมเก็บภาพเป็นที่ระลึกอีกครั้ง...กันลืม แล้วแวะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนที่ไม่ได้มาให้อิจฉาเล่น



เพลินวานเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 11.00-24.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด ส่วนการเดินทาง หากขับรถส่วนตัวมาก็วิ่งตรงมาเส้นถนนเพชรเกษมมาเรื่อยๆ พอเห็น index หัวหิน ก็ขับตรงไปอีกซัก 500 เมตร หลังจากนั้นก็เตรียมกลับรถไปฝั่งตรงข้าม เพลินวานตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ฝั่งตรงข้ามพระราชวังไกลกังวล

ถ้าอยากหลีกหนีจากโลกปัจจุบันที่แสนวุ่นวายและน่าเบื่อ ขอเชิญนั่งไทม์แมชชีนไป "เพลินวาน" กับบางจากได้เลยจ้า...

ที่มา : www.sanook.com

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไปเที่ยว เชียงคาน กันดีกว่า

ไป เชียงคานกันไหม ?


ไม่ได้มีใครถาม ไม่ได้มีใครชวนหรอก แต่โน้ตไว้ในไดอะรี่ แปะวันเวลาไว้กับปฏิทิน ตกลงกับตัวเองว่า...ตั้งใจจะไปไหนสักแห่ง...ในมุมเงียบ ไม่วุ่นวายสักสามสี่วัน จะว่าไปแล้ว เป็นผู้หญิงก็ยุ่งยากมากหน่อยกับการเดินทางแบกเป้ เดินเดี่ยว ขาดบอดี้การ์ดประชิดตัว แต่ เรื่องใจ..ไม่ต้องห่วง !!!ใจใครก็ใจใคร...

คนเราออกเดินทางด้วยเหตุผลต่างๆ กัน ...ผจญภัย ...พบเจอ...สังสรรค์... ผ่อนพัก..หยุดนิ่ง..และทบทวน บางทีนั่นก็เป็นความสุขแล้วสำหรับคนบางคนกับปลายฝนต้นหนาวท้ายปีในเดือนหมอกห่มคลุม ออกจากสังคมเมืองวุ่น เอ็มพี 3 เพื่อนคู่หู ทำงานตั้งแต่ รถประจำทางออกเคลื่อน หลับๆ ตื่นในห้วงฟ้ามืด กว่า 8 ชม. ก็ถึง...เชียงคาน อำเภอเล็กๆ ติดชายแดนไทย-ลาว เลียบลำน้ำโขง อีกหนึ่งอำเภอของจังหวัดเลย

ความช้า ง่ายๆ ไร้พิธีรีตอง ผู้คนไม่ขวักไขว่ ร้านรวงบ้านช่องยังคงดิบเดิม บ้างเป็นไม้ทั้งหลัง ประตูบานเฟี้ยม เก้าอี้แคร่ตัวย่อมวางอยู่หน้าบ้านเหมือนๆ กัน เรื่อยเดินไปถึงริมฝั่งโขง


สิ่งที่อยู่ปรากฏตรงหน้า ทำเอาสะกดใจซะอยู่หมัด ให้ตาย!! นั่นมันหมอกใช่มั้ยนะ ? หันรีหันขวางสำรวจรอบๆ ให้แน่ใจว่า ไม่ได้มีใครพร้อมใจก่อควันไฟกันต้มยำทำแกงเป็นประชาคมในตอนนี้ ยามนี้อากาศที่ห่อหุ้มเราอยู่น่าจะราวๆ สัก 10 องศาเห็นจะได้ ที่หนาๆ คละคลุ้งคลุมผืนน้ำ แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย นั่นคือ หมอก หมอก และก็หมอก ไม่นานนัก...แดดยามสายเริ่มตื่น มองเห็นสายน้ำไหลเอื่อย หลายชีวิตทอดตัวอยู่บนผืนน้ำสีทอง...เรื่อยมอง หมู่บ้านเล็กๆ ริมโขงที่ผสมผสานและหน่วงเหนียวอะไรไว้มากมาย ความไม่รีบเร่ง ความเงียบของที่นี่ ทำให้บางคนแถวนี้ใจไหวๆ คิดถึงบ้านเก่าและคิดถึงใครบางคน...


ราวๆ 8 โมงเช้า ผู้คนเริ่มออกมาทำสัมมาอาชีพ ปั่นจักรยานไปตลาด บางบ้านมีหญิงชราจับกลุ่มนั่งสนทนา รอใส่บาตรข้าวเหนียว วัฒนธรรมที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาเป็นอาจิณ เดินไปบ้านไหน..ก็มีแต่คนส่งยิ้มให้..ทักทายพูดคุย ราวกับรู้จักมานาน มากไปกว่านั้น...เชียงคานมี “ภูท่อก” จุดชมวิวขึ้นชื่อ เหมาะกับการขึ้นไปอาบลมห่มหมอก เป็นมนต์เสน่ห์อีกจุดราวกับได้ไต่ฟ้า ยืนใกล้เมฆ“สวย”...บอกได้แค่นี้คำเดียว...แค่นี้จริงๆ

ไม่ไกลจากนั้นมี “แก่งคุดคู้” ทะเลสันดอนทรายที่ในยามน้ำแห้ง สามารถลงไปเดิน ตั้งเก้าอี้ นอน นั่ง ได้สบายชีวี ที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนของคนมาเยือนเชียงคาน แถมมีร้านค้า ร้านอาหารพื้นเมืองให้ได้เลือกชิมเลือกชม เด็ดสุด น่าจะเป็น “มะพร้าวแก้ว” สุดอร่อย ขึ้นชื่อติดดาว

ยามเย็นหลังแดดเริ่มลดทอนความกร้าว...ถนนตัวหนอน เลียบน้ำโขงกลายเป็นถนนมิตรภาพ มีทั้งเด็กเล็กวิ่ง เดินเล่น กลุ่มแม่บ้านตั้งวงคุยริมรั้วลำน้ำโขง บ้างบ้างเดิน-วิ่ง หาความกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย บ้างตั้งวงกินข้าวยามเย็นรับตะวันคล้อยตกดิน


ฉากหลัง...ที่เห็นเป็นสายน้ำโขงสีชมพู อมม่วง...มองด้วยตาเปล่า แทบไม่เชื่อว่านี่คือภาพจริง...เชียงคานน่าจะเป็นอีกเมืองผ่านที่ไม่ควรเลย สำหรับคนกล้าเหงา เพราะที่นี่มีรอยจาง-จาง ของความเก่าหล่อเลี้ยงหลายต่อหลายลมหายใจ เชียงคานมีคนใจดี ทุกซอกทุกมุม ยิ้มส่ง ยิ้มรับ ถึงกันไม่มีเขิน....ที่นี่ปะปนระหว่าง คนเดินช้า กับคนเดินเร็ว คนใจดีต่อหน้าและคนใจดีลับหลัง ทุกอย่างดำเนินไม่ว้าวุ่นเหมือนเมืองกรุง มีแต่กลิ่นฟุ้งๆ ของความเป็นมิตรที่ไม่อยากให้ใคร มาเทสี....ความเปลี่ยนแปลง


*ท้ายที่สุดขอให้เชียงคาน อยู่ในเสน่ห์ที่ไม่ต้องแต่งเติม ไร้ข้อแม้...อย่างนี้ ไปนาน นาน...

การเดินทาง

รถส่วนตัว : จากกรุงเทพฯใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ผ่านตัวเมืองสระบุรี ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์เข้าทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ ถึงตัวจังหวัดเลยใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมง หรือใช้เส้นทางจากสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 มิตรภาพผ่านจังหวัดนครราชสีมาถึงจังหวัดขอนแก่น เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ แล้วใช้เส้นทางหมายเลข 201 เข้าเขตจังหวัดเลย ที่อำเภอภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวจังหวัดเลยได้เช่นเดียวกัน

รถประจำทาง : บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง รายละเอียดสอบถามที่สถานีขนส่งสายอีสาน ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2) โทร.0-2936-0667, 0-2936-0657 วิ่งเส้น กทม.-เพชรบูรณ์-อ.หล่มสัก-อ.หล่มเก่า-อ.ภูเรือ

Story Widchuda Channarong / Photo สกู๊ตเตอร์สีชมพู


http://axcscooter.multiply.com

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร weekend
ที่มา : www.sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง Phu Kradueng National Park



ความเป็นมา
ภูกระดึงเกิดจาก "ภู" + "กระดึง" ภู มาจาก ภูเขา และกระดึง มาจากคำว่า กระดิ่ง ในภาษาพื้นเมืองของจังหวัดเลย ด้วยเหตุนี้ ภูกระดึง จึงอาจแปลได้ว่า ระฆังใหญ่

ชื่อกระดึงนี้มาจากเรื่องเล่าที่ว่าในวันพระ ชาวบ้านมักได้ยินเสียงกระดิ่งหรือระฆังจากภูเขาลูกนี้เสมอ จึงเล่าต่อกันไปว่าเป็นระฆังของพระอินทร์ นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "ภูกระดึง"

ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2486 และเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

ข้อมูลทั่วไป
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ครอบคลุมพื้นที่ 348.12 ตร.กม. (217,575 ไร่) ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยที่ราบบนยอดตัดของภูกระดึงมีพื้นที่ประมาณ 60 ตร.กม. (37,500 ไร่) มีลักษณะคล้ายรูใบบอนหรือรูปหัวใจเมื่อมองจากด้านบน มีความสูงอยู่ระหว่าง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล และมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นตลอดปี

ภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายยอดตัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงโคราช ใกล้กับด้านลาดทิศตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ลักษณะโครงสร้างทางธรณีของภูกระดึงเกิดขึ้นในมหายุค Mesozoic เป็นหินในชุดโคราช ประกอบด้วยชั้นหินหมวดหินภูพาน หมวดหินเสาขัว หมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง

พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 400-1,200 เมตร มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่คล้ายรูใบบอน ประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร

สภาพพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงมีส่วนสูงอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ค่อยๆ ลาดเทลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ลำธารสายต่างๆ ที่เกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขาไหลไปรวมกันทางด้านนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหวาย ในจังหวัดขอนแก่น


ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงบริเวณที่ระดับต่ำตามเชิงเขา มีสภาพโดยทั่วไปใกล้เคียงกับบริเวณอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฝนตกชุกที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม และอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน

สภาพอากาศทั่วไปบนยอดภูกระดึง แตกต่างจากสภาพอากาศในที่ราบต่ำเป็นอย่างมาก โดยปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำฝนบนที่ต่ำ เนื่องจากอิทธิพลของเมฆ/หมอกที่ปกคลุมยอดภูกระดึงเป็นเนืองนิจ ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 0-10 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 12-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 23-30 องศาเซลเซียส อากาศบนยอดภูกระดึงมักจะแปรปรวน มีเมฆหมอก ลอยต่ำปกคลุมบ่อยครั้ง อากาศจึงค่อนข้างเย็นตลอดปี ในช่วงฤดูฝน มักเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เกิดการพังทะลายของภูเขาและมีน้ำป่า ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ปิดการท่องเที่ยวเฉพาะบนยอดเขาภูกระดึง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้มีการพักฟื้นตัว หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี

พืชพรรณ

สังคมพืชของภูกระดึงเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดป่าหนึ่ง มีทั้งป่าผลัดใบ และป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงต่างๆ จำแนกออกได้เป็น
- ป่าเต็งรัง พบบนที่ราบเชิงเขาและบนที่ลาดชันจนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร
- ป่าเบญจพรรณ พบตั้งแต่บนพื้นที่ราบเชิงเขาและที่ลาดชันตามไหล่เขารอบภูกระดึง จนถึงระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 950 เมตร
- ป่าดิบแล้ง พบตามฝั่งลำธารของหุบเขาที่ชุ่มชื้นทางทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตก ตั้งแต่เชิงเขาจนถึงระดับความสูงประมาณ 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล
- ป่าดิบเขา พบตั้งแต่ระดับ 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
- ป่าสนเขา พบเฉพาะบนที่ราบยอดภูกระดึงที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเล

พรรณไม้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่
- ก่วมแดง พืชสกุลเมเปิลที่พบบริเวณน้ำตก บนภูกระดึงต้นจะแดงสดในฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม
- หม้อข้าวหม้อแกงลิง พบได้เป็นดงในบริเวณใกล้ผานาน้อยจนถึงผาแดง
- ดอกกระเจียว ทุ่งดอกกระเจียวพบได้ในบริเวณใกล้ผาเหยียบเมฆจนถึงผาแดง โดยปกติดอกกระเจียวจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายน แต่ในเดือนพฤษภาคมก็จะยังพบดอกกระเจียวบานอยู่ แม้ว่าอาจจะถูกแมลงและสัตว์ต่างๆ กัดกินดอกและใบของมันไปบ้างก็ตาม

สัตว์ท้องถิ่น
ภูกระดึง ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้าและลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิดที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ช้างป่า เก้ง กวางป่า หมูป่า ลิงกัง ลิงลม บ่าง กระรอกหลากสี กระแต หนูหริ่งนาหางยาว ตุ่น เม่นหางพวง พังพอน อีเห็น เหยี่ยวรุ้ง นกเขาเปล้า นกเขาใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกเค้ากู่ นกตะขาบทุ่ง นกโพระดกคอสีฟ้า นกตีทอง นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง นกนางแอ่นสะโพกแดง นกเด้าดินสวน นกอุ้มบาตร์ นกขี้เถ้าใหญ่ นกกระทาทุ่ง นกพญาไฟใหญ่ นกกางเขนดง นกจาบดินอกลาย นกขมิ้นดง ตุ๊กแก จิ้งจกหางแบนเล็ก กิ้งก่าสวน จิ้งเหลนบ้าน เต่าเหลือง งูทางมะพร้าว งูลายสอบ้าน งูจงอาง งูเก่า งูเขียวหางไหม้ อึ่งอี๊ดหลังลาย เขียดหนอง คางคก กบหูใหญ่ ปาดแคระ และมีเต่าชนิดหนึ่งซึ่งหาได้ยาก คือ เต่าปูลู หรือ “เต่าหาง” เป็นเต่าที่หางยาว อาศัยอยู่ตามลำธารในป่าเขาระดับสูงของประเทศไทย กัมพูชา และ ลาว

เส้นทางขึ้นไปยังยอดภู

เส้นทางขึ้นที่อำเภอภูกระดึง เป็นเส้นทางเก่าแก่และได้รับความนิยมมากที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมความงามบนยอดภูกระดึง ได้ที่อำเภอภูกระดึง ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 7.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานแห่งชาติจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไป เนื่องจากจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทางเกิดความยากลำบากในการเดินทาง อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน

เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป (5.5 กม.)การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ลำบากมากนัก แต่ระยะทางจะไกลและชัน เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป มีระยะทางประมาณ 5.5 กม.หากเดินขึ้นภูตั้งแต่เช้า อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมไปตลอดทาง โดยเฉพาะสภาพทางธรณีและสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา จนถึงหลังแปจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป จะแบ่งเป็นหลายช่วง แต่ละช่วงเรียกว่า ซำ ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีน้ำขัง มักเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่ามาพักกินน้ำ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางผ่าน ปางกกค่า ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก พร่านพรานแป ซำกกหว้า ซำกกโดน และซำแคร่ ตามลำดับ ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักเหนื่อยต่างๆ ซึ่งจะมีร้านค้าบริการอาหาร เครื่องดื่ม และห้องน้ำโดยหลังจากซำแคร่ซึ่งเป็นซำสุดท้าย นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม. เพื่อเข้าสู่ยอดเขาในส่วนที่เรียกกันว่าหลังแป ระยะทางและความสูงจากระดับน้ำทะลแต่ละช่วงตามรูป

เส้นทางจากหลังแปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง (3.6 กม.)หลังจากขึ้นถึงหลังแป จะเป็นทางราบท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าสนเขาอันกว้างใหญ่ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางราบอีกประมาณ 3.6 กม. เพื่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางบนยอดเขา เพื่อตั้งเต็นท์ หรือที่พักอาศัยอื่นๆ ณ จุดยอดเขานี้นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นป่าสนมากมายเรียงรายกันตลอดทางผังลานกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง
เส้นทางขึ้นที่อำเภอน้ำหนาว
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาภูกระดึงได้ที่บ้านฟองใต้ อำเภอน้ำหนาว ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นเขาเส้นทางใหม่ โดยจะขึ้นไปที่ผาหล่มสักโดยตรง มีระยะมีระยะทาง 5.2 กม. จากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลย.5 (หนองผักบุ้ง) ถึงผาหล่มสัก


เส้นทางท่องเที่ยวบนยอดเขาภูกระดึง
แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือบริเวณท่องเที่ยวปกติ และบริเวณป่าปิด
บริเวณแหล่งท่องเที่ยวปกติ แบ่งเป็นเส้นทางน้ำตก และเส้นทางเลียบผา
1.1 เส้นทางน้ำตก การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ สระแก้ว น้ำตกถ้ำสอใต้ สระอโนดาด น้ำตกธารสวรรค์ และพระพุทธเมตตา1.2 เส้นทางเลียบผา การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ พระแก้ว ผานกแอ่น ผาหมากดูก ผาจำศีล ผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และผาหล่มสัก จุดดูพระอาทิตย์ขึ้นสามารถดูได้ที่ผานกแอ่นเพียงที่เดียวมีระยะทางห่างที่พักเพียง 2 กม. สำหรับจุดดูพระอาทิตย์ตกสามารถชมได้ที่ผาหมากดูก ซึ่งใกล้ที่สุดห่างจากที่พักเพียง 2 กม. และผาหล่มสักซึ่งเป็นจุดที่นิยมมากที่สุด
ส่วนบริเวณป่าปิด แบ่งได้เป็นเส้นทางน้ำตกขุนพอง และเส้นทางผาส่องโลก
2.1 เส้นทางน้ำตกขุนพอง จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตกขุนพอง2.2 เส้นทางผาส่องโลก จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกผาฟ้าผ่า โหล่มฟ้าโลมดิน ผาส่องโลก โหล่นเจดีย์ โหล่นถ้ำพระ และ แง่งทิดหา



แผนการเที่ยวฉบับอุทยาน
แผนการเที่ยว 1 คืน 2 วัน เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อย (เดิน 26 กม.)
วันที่ 1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา-ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่ 2 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา
แผนการเที่ยว 2 คืน 3 วัน (เดิน 44 กม.)
วันที่1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่2 ชมน้ำตกต่างๆ สระอโนดาด น้ำตกถ้ำสอเหนือ ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก หรือ ชมน้ำตกต่างๆ สระแก้ว ผานาน้อย ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก
วันที่3 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา
แผนการเที่ยว 3 คืน 4 วัน (เดิน52 กม.)
วันที่1 ขึ้นเขา ไหว้พระพุทธเมตตา ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก
วันที่2 ชมน้ำตกต่างๆ สระแก้ว ชมพระอาทิตย์ตกที่ผานาน้อย กลับที่พัก
วันที่3 ชมสะอโนดาต น้ำตกถ้ำสอเหนือ ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก กลับที่พัก
วันที่4 ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไหว้พระแก้ว ลงเขา

จุดเด่น

แหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึงส่วนใหญ่มีทางเดินชมธรรมชาติติดต่อถึงกันหมด การท่องเที่ยวบนภูกระดึงควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน เพื่อจะได้เที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงาม เหล่านั้นได้ทั่วถึง จุดที่น่าสนใจ ได้แก่


ผานกแอ่น
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กม. ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่น เย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่ง เต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

ผาหมากดูก
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.3 กม. เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตก ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์สามารถชมทิวทัศน์ภูผา จิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก


ผาหล่มสัก
อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 9 กม. เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้ บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของ เทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกัน หนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

ลานวัดพระแก้ว
หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว สามารถเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลาน หินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน

ลานหินบริเวณองค์พระพุทธเมตตา
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 500 เมตร ลานหินบริเวณองค์พระนี้เป็นจุดชมพันธุ์ไม้บนลานหิน เช่น ดุสิตา กระดุมเงิน เอื้องม้าวิ่ง ที่อยู่ใกล้ที่สุด

สระแก้ว
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 1 กม. อยู่ในส่วนต้นน้ำของลำธารสวรรค์ "ธารสวรรค์" ลักษณะเป็นวังน้ำลึกขนาดไม่กว้างนัก น้ำใสมากจนมองเห็นพื้นหิน ขาวสะอาด เป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าจำนวนมาก ต่อจากบริเวณสระแก้วมีทางเดินชมธรรมชาติผ่านลานหิน ซึ่งมีดอกหรีดสีม่วงอมน้ำเงินเกสรสีเหลือง ขึ้นอยู่เป็นทุ่งไปจนถึงผา นาน้อย แยกซ้ายไปจะพบกับผาจำศีล ซึ่งมีลานหินกว้างพอให้นั่งพักผ่อน จากผาจำศีลประมาณ 600 เมตร จะถึงผาหมากดูก หากแยกขวาจะผ่านผาเหยียบเมฆและผาแดง แล้ว ก็จะถึงผาหล่มสัก

สระอโนดาด
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กม. เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรีซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิน เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมด

น้ำตกวังกวาง
เป็นน้ำตกอยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุดในบรรดาน้ำตกบนภูกระดึง ระยะทางเพียง 750 เมตร จากจุดเริ่มต้นตรงบริเวณบ้านพัก ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง 7 เมตร ตัดขวางลำธาร ธารน้ำไหลลงยังวังน้ำเบื้องล่าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายโพลงถ้ำมุดลงไปและบริเวณป่าใกล้ๆ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางมักจะลงมากินน้ำอยู่เสมอๆ จึงเรียกว่า "วังกวาง" บริเวณ น้ำตกมีที่กว้างขวางให้ได้นั่งพักสบายๆ หลายมุม เพราะน้ำตกอยู่ไม่ไกล สามารถลงเล่นน้ำได้

น้ำตกเพ็ญพบใหม่
เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียว ขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของ ชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

น้ำตกโผนพบ
เป็นหนึ่งในน้ำตกหลายจุดอันเกิดจากสายน้ำวังกวาง ห่างจากตัวน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพียง 600 เมตรเท่านั้น ในส่วนของลำธารส่วนบนของน้ำตกโผนพบนี้ สามารถไปยืนชมตัว น้ำตกกลางลำธารซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม น้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยบนภูเขานี้ สำหรับชื่อ "โผนพบ" ตั้งชื่อเป็น เกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยน โลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่าง ประเทศ

น้ำตกเพ็ญพบ
อยู่ห่างจากน้ำตกโผนพบ 800 เมตร เป็นน้ำตกที่ไม่สูงนัก ลำห้วยช่วงก่อนไหลลงน้ำตกเป็นลานหินกว้าง ลักษณะคล้ายแก่งที่เต็มไปด้วยหลุมกลม

น้ำตกถ้ำใหญ่
ห่างจากน้ำตกเพ็ญพบประมาณ 1 กม. เส้นทางเดินไปสู่น้ำตกจะดูใกล้นิดเดียวสำหรับคนชอบธรรมชาติ ชมนกชมไม้ เพราะตลอดเส้นทางครอบคลุมไปด้วยป่าดิบเขาที่มีพรรณ ไม้ใหญ่และร่มครึ้มกว่าทุกเส้นทางน้ำตกอื่นๆ อาจได้พบต้นส้มกุ้ง (Begonia sp.) ออกดอกเป็นสีชมพู เกสรกลางสีเหลือง ชอบขึ้นตามทางในพื้นที่สูงอย่างป่าดงดิบเขา ในเส้น ทางถ้ำใหญ่นี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆ มีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ หากช่วงต้นมกราคม เส้นทางนี้จะแดงฉานด้วยใบเมเปิ้ลที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่า ความสวย งามของน้ำตกถ้ำใหญ่จะแปลกตาด้วยโขดหินมหึมาวางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ลำธารนี้ขนาบข้างด้วยต้นเมเปิ้ล ยามเมเปิ้ลแดงล่วงหล่น ขัดสีให้ลำธารหินเขียวสวยงามมีสีสัน และมีชีวิตชีวาขึ้นมามากนัก

น้ำตกถ้ำสอเหนือ
อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กม. เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อน จะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น

น้ำตกถ้ำสอใต้
อยู่ถัดจากน้ำตกถ้ำสอเหนือลงไปตามลำน้ำประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากหน้าผาหินถล่มลงไป สภาพภูมิประเทศไม่ได้อำนวยให้เกิดเป็นชั้นน้ำตกเหมือน แห่งอื่นๆ

น้ำตกตาดฮ้อง
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น เกิดจากลำน้ำพอง ซึ่งไหลลงมาจากภูกระดึงด้านหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือ สองฝั่งของตาดฮ้องเป็นผาหินสูงชันมาก เมื่อน้ำตกผ่านผาหินกว้างที่ลด หลั่นเป็นชั้นๆ จึงทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง จากบริเวณน้ำตกมองเห็นแนวภูเขาเปลือยขวางอยู่ข้างหน้าน้ำตกตาดร้องอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 20 กม.

วังอีเมือง
อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 3.2 กม. บริเวณนี้มีแก่งที่สวยงามหลายแห่ง เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนและลงเล่นน้ำ

แก่งป่าหินทราย
อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 5.6 กม. เป็นแก่งหินที่สวยงาม มีความยาวประมาณ 750 เมตร ด้านบนมีจุดชมทิวทัศน์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของแก่งได้ อย่างสวยงาม บริเวณแก่งหินจะมีหลุมเป็นอ่างหินที่เกิดจากการกัดกร่อนของแรงน้ำมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง


ช่วงเวลาท่องเที่ยว
ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี

กิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยว
เดินป่าพิชิตภูกระดึง ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกนางแอ่นและชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกหรือผาหล่มสัก ชมพืชพรรณธรรมชาติและน้ำตกต่างๆ

ค่าธรรมเนียม
ผู้ใหญ่ 20 บาท
เด็ก 10 บาท
ค่าบริการลูกหาบสัมภาระ กิโลกรัมละ 10 บาท


ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
หมู่ที่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ. ภูกระดึง จ. เลย 42180
โทรศัพท์: 042-871-333, 042-871-458
อีเมล์: phukradueng_np@dnp.go.th

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ
โทรศัพท์: 02-562-0760

ติดต่อจองที่พักของทางอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติมีบ้านพัก เต็นท์และเครื่องนอนเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยว สามารถติดต่อจองเต็นท์กับทางอุทยานแห่งชาติได้ในวันที่มาถึง ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน (เชิงเขา) ก่อนขึ้นภูกระดึง

สามารถจองที่พักได้ด้วยตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่เว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช www.dnp.go.th

ที่มา : www.teeteawthai.com ,www.sanook.com

สถานที่สุดโรแมนติก ‘บอกรัก’ วันวาเลนไทน์

วาเลนไทน์ ปีนี้หากคุณและคนรักกำลังมองหาสถานที่แสนโรแมนติก บรรยากาศดี เป็นสถานที่บอกความในใจกับคนรัก หรือพาคนรักไปเติมความหวานให้กับชีวิตคู่ สนุก! ท่องเที่ยว ได้คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ มาให้คุณใช้เป็นตัวเลือกเนรมิตฉากโรแมนติกในฝัน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับคนรักของคุณในวัน วาเลนไทน์ ปีนี้ไปอีกนานแสนนาน

เชียงคาน


วาเลนไทน์ ปีนี้หากคุณและคู่รักหลงใหลในความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ความเงียบสงบ และความโรแมนติก เมืองเล็กๆ อย่างเชียงคาน ที่สาวๆ กลัวว่ามาแล้วจะขึ้นคานดั่งชื่อ ขอให้ละความคิดนี้ไปได้เลย เพราะเมืองริมแม่น้ำโขงแห่งนี้ยินดีต้อนรับคุณและคนรักให้มาบอกรักกันในวันวาเลนไทน์ ท่ามกลางความน่ารักของผู้คน ความเรียบง่ายของวิถีชีวิตชุมชน ที่จะทำให้หัวใจของคุณอบอุ่นไปแสนนาน

โรยัล กู้ดวิว รีสอร์ท


ให้รางวัลกับความรักของคุณทั้งสองคนในวันวาไลนไทน์ปีนี้ด้วยการเปิดประสบการณ์พักผ่อนแสนโรแมนติกในรูปแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ณ รอยัล กู้ดวิลล์ รีสอร์ท อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยขุนเขา บ้านทุกหลังมีดาดฟ้าให้คุณและคู่รักสามารถขึ้นไปดื่มด่ำบรรยากาศโรแมนติก หรือจะสนุกกับการให้อาหารแกะขนฟูแสนน่ารักหลายสิบตัว ก็เป็นการเติมความหวานให้กับความรักของคุณ ที่จะทำให้คุณทั้งสองไม่อาจลืมสถานที่นี้ได้เลย

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน


พระราชวังแห่งความรักและความหวังในบรรยากาศแบบบ้านพักตากอากาศที่มีต้นไม้ใหญ่คอยให้ความร่มรื่นบนพื้นสนามหญ้าสีเขียวสด มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นในมุมสบายๆ และเมื่อมองไปเบื้องหน้าก็เห็นเป็นชายหาดที่มีลมเย็นพัดโชยมาอยู่ตลอดเวลา ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติ๊ก โรแมนติกซะเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหากคุณเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่บอกรัก เชื่อเลยว่าคนรักของคุณจะต้องประทับใจเป็นที่สุดอย่างแน่นอน

PB Valley เขาใหญ่


มอบความสุขเป็นของขวัญให้คุณกับคนรักด้วยการสร้างวันที่แสนโรแมนติกและผ่อนคลาย ที่ PB Valley เขาใหญ่ สัมผัสบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว ท่ามกลางความงดงามของไร่องุ่น และวิวทิวทัศน์ที่กว้างใหญ่กลางหุบเขาดงพญาเย็นให้โอบกอดคุณและคู่รัก อย่ารอช้าควงคู่มาสัมผัสด้วยตัวเอง แค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ จากกรุงเทพฯ เท่านั้น

A Cup of love วังน้ำเขียว


ร้านกาแฟที่ขึ้นชื่อการตกแต่งร้านอย่างสวยงาม บรรยากาศแสนโรแมนติกท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติในอำเภอวังน้ำเขียว ดินแดนที่ได้ชื่อว่า สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย เหมาะสำหรับคอกาแฟ และนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อน รวมไปถึงคู่รักที่ต้องการความโรแมนติก ที่ต้องการมาสร้างความประทับใจและทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน เช่น ป้อนหญ้าและป้อนนมให้กับแกะ เดินเล่นในสวนดอกไม้ ถ่ายรูปในมุมสวยๆ หรือจะนอนค้างสักคืน ก็เป็นความทรงจำอันน่าประทับใจของคุณทั้งสองเลยละ

ภูกระดึง


มีคนเคยกล่าวไว้ว่า หากต้องการพิสูจน์ความรักแท้ของคุณทั้งสองคน คุณต้องพาคู่รักไปพิชิตยอด ภูกระดึง หลังจากการพิชิตยอดภูกระดึงแล้ว คุณทั้งสองยังครองรักกันต่อไปได้ นั่นแสดงว่าคุณทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน เพราะช่วงเวลาที่เดินสู่ยอด ภูกระดึง นั้นจะเป็นสิ่งพิสูจน์รักแท้ของคุณทั้งสอง ความเหนื่อยล้า การดูแลเอาใจใส่ จะเป็นสัญญาณบอกให้คุณรู้ว่าเขาและเธอพร้อมจะดูแลคุณแค่ไหนหากต้องใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน

ได้ตัวช่วยแล้ว พร้อมออกเดินทางพาคู่รักไปเติมความหวานซึ้งๆ ใน วันวาเลนไทน์ กันหรือยังครับ 

เรื่อง: กันต์ ณ ปกรณ์
ที่มา : www.sanook.com

เกาะสีชัง...สวยน่าไปทุกฤดูกาล

"สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือจะชังใคร..." ฉันได้ยินเพลงนี่ดังมาจากวิทยุคลื่นหนึ่ง ทำให้คิดขึ้นได้ว่าคู่หูเดินทางฉบับนี้เราน่าจะพาไปเยือนยังเกาะสีชัง ยามเมื่อปลายฝนต้นหนาว เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า สีชังนั้นเขาชังแต่ชื่อจริงดังบทเพลงหรือไม่?


การเดินทางนั้นไม่ยากเลย นั่งรถเพียงแค่ชั่วโมงเศษๆก็ถึงอำเภอศรีราชาแล้ว ลงรถที่หน้าตึกคอม ต่อรถสามล้อ(ตุ๊กตุ๊ก) หรือรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไปยังท่าเรือเกาะลอย เพื่อขึ้นเรือต่อไปยังเกาะสีชัง ค่าโดยสารเรือเพียงคนละ 45 บาท ขาไปเริ่มเวลา 8.00-20.00 น. ขากลับเริ่ม 6.00-18.00 น.เรือจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 40-45 นาทีก็ถึงแล้ว ทันทีที่ย่างเท้าก้าวขึ้นท่าเรือ ชุมชนเกาะสีชัง ก็สามารถสัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์ บรรยากาศการท่องเที่ยวแบบท้องถิ่น มิตรภาพ รอยยิ้มและน้ำใจที่มีให้พบเห็นกันโดยทั่วไปบนเกาะแห่งนี้ เกาะสีชัง เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่จอดพักเรือสินค้านานาชาติ ถือได้ว่าเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวแห่งหนึ่งมีท่าจอดเรือ 2 จุด คือ ท่าบน และ สะพานท่าเทววงษ์ (ท่าล่าง) สามารถเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับหรือจะพักค้างคืนก็ได้เพราะที่นี่เค้าก็มีทีพัก รีสอร์ทไว้คอยให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยว

ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่



ตั้งอยู่บนเขาห่างจากท่าเรือเทววงศ์ไปทางด้านเหนือของเกาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถาน ที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทย สามารถเดินต่อไปยัง มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เดินบันไดต่อขึ้นไปอีกประมาณ 345 ขั้นรัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ

ช่องเขาขาด



ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณจะมีสะพานวชิราวุธสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลมๆ ขนาดต่างๆ มากมาย ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับชมทิวทัศน์ของรัชกาลที่ 5

หลักศิลาจารึก



ตั้งอยู่ที่ข้างสนามโรงเรียนเกาะสีชัง จารึกเล่าถึงพระราชปรารภของรัชกาลที่ 5 เกี่ยวกับบรรยากาศที่ดีบนเกาะสีชัง

พิพิธภัณฑ์ชลทัศนสถาน



ตั้งอยู่ภายในบริเวณพระราชวังจุฑาธุราชฐาน เป็นสถานที่จัดแสดงสัตว์น้ำทางทะเลอยู่ในความดูแลของสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นแหล่งที่ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เปิดให้ชมฟรี วันอังคาร ถึงวันอาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ เวลา 9.00 - 17.00 น.

พระจุฑาธุชราชฐาน



ห่างจากท่าเทววงศ์ลงมาทางใต้ของเกาะ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง เดินเข้ามาก็จะพบศูนย์บริการข้อมูล ซึ่งมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเป็นเด็กนักเรียนที่หารายได้พิเศษเพื่อเป็นทุนการศึกษา เด็กทุกคนได้ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี สามารถอธิบายและพาเดินชมได้อย่างทั่วถึง ค่าบริการแล้วแต่จะให้เพราะถือว่าเป็นการสนับสนุนการศึกษาแก่อนาคตของชาติเรานั่นเอง เดินขึ้นไปทางขวามือก็จะพบพระบรมรูป รัชกาลที่ 5 ขอเชิญสักการะเพื่อเป็นสิริมงคล ถัดขึ้นไปเป็นระฆังหิน เพียงคุณใช้หินก้อนเล็กๆ เคาะที่ระฆังหินเบาๆ คุณก็ได้ยินเสียงกังวานดั่งเคาะระฆังจริงๆ เค้าว่าให้อธิฐานระหว่างเคาะเรื่องที่ขอไว้ก็จะได้สมใจหมาย เดินต่อขึ้นมาอีกนิดก็จะพบกับวัดอัษฎางค์นิมิตร เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่นคือ มีพระอุโบสถ อยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ตัวพระอุโบสถสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บริเวณพระเจดีย์อุโบสถยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อมาจากพุทธคยาประเทศอินเดียปลูกไว้ เดินลงมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับเรือนผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม เรือนอภิรมย์ เรือนวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง และเรือนไม้ริมทะเล ในส่วนพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างในสมัยนั้น เหลือให้เห็นเพียงฐานราองค์พระที่นั่งเท่านั้น เพราะได้ถูกรื้อย้ายไปปลูกที่พระราชวังดุสิต แล้วพระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ก่อสร้างที่น่าสนใจอื่น ๆ อีก ได้แก่ บ่อน้ำ ผา ธารน้ำ สระน้ำ พระที่นั่ง น้ำพุ พระตำหนัก บันได ทางสัญจร ประภาคาร แล สถานที่ก่อสร้างอีกแห่งหนึ่งที่สวยงามดึงดูดใจผู้มาเยือนและผู้พบเห็นก็คือ สะพานอัษฎางค์ เป็นสะพานท่าเทียบเรือขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้สักทาสี เสาก่อด้วยหินโบกปูนซีเมนต์ มีศาลาพักทรงไทย 3 แห่ง คือ ต้น กลาง และปลายสะพาน หน้าบันจำหลักโดยช่างชาวจีนฝีมือประณีตและงดงาม

Tips

รถบริการสำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
• รถสามล้อเครื่องหรือที่นี่เขาเรียกกันว่า "สกายแลป" อัตรานำเที่ยวรอบเล็ก 150 บาท รอบใหญ่ 250 บาท
โดยสารได้ไม่เกิน 6 คน
• รถสองแถวบริการนำเที่ยวรอบเกาะ ราคาคันละ 500 บาท โดยสารได้ 7-15 คนไม่จำกัดเวลา
• รถมอเตอร์ไซด์เช่า คิดค่าบริการ 1 ชั่วโมง 80 บาท, เหมา 250 บาท, ค้างคืน 300 บาท

ที่มา :  www.sanook.com

ตื่นตา!! 7 เส้นทางท่องเที่ยว Hilight ภาคอีสาน


เสน่ห์มนตราริมโขง ... จุดหมายปลายทางที่คุณจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขงกับหลากพันหลากแสนชีวิตที่ต้องเกาะเกี่ยวกับสายน้ำ ทำให้แม่น้ำโขงเปรียบดัง สายน้ำแห่งชีวิต จากต้นกำเนิดบนจากเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านประเทศจีน ที่ราบสูงธิเบต สู่ทะเลจีนใต้ ผ่านลาว พม่า ไทย กัมพูชา และเวียดนาม บนความยาวทั้งหมด 4,880 กิโลเมตร ทำให้สายน้ำโขงมีทั้งประวัติ เรื่องเล่า ความเชื่อผสมผสานอยู่ในความงดงามแห่งสายน้ำ



เช่นเดียวกับหลายจังหวัดของประเทศไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับลำน้ำโขง จังหวัดเหล่านี้จึงมีเสน่ห์แห่งสายน้ำบวกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นอกเหนือจากจุด แรกของการบรรจบที่จังหวัดเชียงราย สายน้ำแผ่กว้างไกลเจือจานมายังหลายจังหวัดในภาคอีสาน ตั้งแต่จังหวัดเลย จังหวัดนครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมุกดาหาร วิถีชีวิตตามลุ่มน้ำจึงเป็นที่มาของมนตราแห่งลำน้ำโขง แทรกซึมอยู่ในพื้นที่ต่างๆของทั้งห้าจังหวัดอย่างแยกไม่ออก

จังหวัดเลย จุดดึงดูดในปัจจุบันก็คงจะหนีไม่พ้นพื้นที่ของอำเภอเชียงคาน เมืองริมโขงอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี อุ่นไอวัฒนธรรมโบราณด้วยเรือนไม้โบราณที่ยังคงมีชีวิต ถูก ดัดแปลงให้เป็นร้านค้ารองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเสพความขรึมขลังของวันวาน ความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ในวัดศรีคุณเมือง

จังหวัดนครพนม ขึ้นภูลังกา อ.บ้านแพง แปลกตากับพระเจดีย์กองข้าวศรีบุญเนาว์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อันเชิญมาจากประเทศเนปาล ระหว่างทางขึ้นภูยังได้ ชมวิวของสายน้ำโขง และฝั่งประเทศลาวจากมุมสูง ลงจากภูก็เข้าวัดพระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน สักการะพระธาตุซึ่งจำลองแบบมาจากพระธาตุพนม


จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวหมู่บ้านมิตรภาพไทยเวียดนาม (บ้านโฮจิมินห์) ที่บ้านนาจอก อ.เมือง อนุสรณ์สถานรำลึกถึงประธานาธิบดีของเวียดนาม ที่ลี้ภัยมา พำนักที่นี่ถึง 7 ปี บนถนนสุนทรวิจิตรเลียบแม่น้ำโขง ในตัวอ.เมือง จะรื่นรมย์ไปกับอาคารเก่าแบบเฟรนซ์โคโลเนียล เกือบทั้งหมดได้รับการออกแบบและก่อนสร้างโดย นายช่างชาวเวียดนาม

จากเมืองท่าแขก ในประเทศลาว เลี้ยวซ้ายเข้าวัดนักบุญอันนา หรือโบสถ์หนองแสง ริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นศูนย์กลางชาวคริสต์ริมโขง หรือมิสซังลาว สร้างแบบ สถาปัตยกรรมกอธิก ที่นี่จะมีงานดาวกระดาษในวันคริสต์มาส และเมื่อขับรถเลียบโขง ก็จะถึงอ.ธาตุพนม ที่ตั้งของพระธาตุพนมอันเป็นที่เคารพของคนทั้งสองฝั่งโขง

จังหวัดหนองคาย จากจังหวัดเลย แม่น้ำโขงไหลต่อไปหนองคาย จังหวัดที่ทอดตัวยาวขนานไปกับแม่น้ำโขงมากที่สุด โดยมีถึง 8 อำเภอ ที่อยู่ริมโขง และเป็นจังหวัดแรก ที่มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงสู่ประเทศลาว เริ่มทัวร์บุญที่ถ้ำศรีมงคล เริ่มที่วัดถ้ำดินเพียงที่ อ.สังคม ถ้ำที่มีความสลับซับซ้อน ว่ากันว่าคล้ายเมืองบาดาล ที่อาศัยของพญานาค ไปกราบรูปหล่อหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง


อ.ศรีเชียงใหม่ ปฏิบัติธรรม ดูทัศนียภาพแม่น้ำโขง แล้วสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในพระสุธรรมเจดีย์ ที่วัดอรัญบรรพต ไหว้พระธาตุบังพวน อ.ท่าบ่อ ยอดสูงสุดประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ไปชมประติมากรรมเรื่องราวพุทธประวัติ และเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ที่ศาลาแก้วกู่ (วัดแขก) ปูชนียสถานเทวาลัย ที่อ.เมือง ช้อปปิ้งที่ท่าเสด็จฯ

จังหวัดมุกดาหาร ที่นี่จะมีโบสถ์คริสต์รูปลักษณ์อาคารเป็นแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีความสวยงามและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากความงามยังมี ประวัติความเป็นมาที่ศึกษา โดยทุกวันที่ 22 ตุลาคม และวันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี จะมีงานบุญราศีวัดสองคอน เพื่อเทิดพระเกียรติบุญราศีมรณสักขีทั้ง 7 ท่าน ที่ได้พลี ชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และภายในมีหุ่นขี้ผึ้ง ของบุญราศีทั้งเจ็ดนอนอยู่ในโลงกระจกแก้ว

จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจุดสุดท้ายของสายน้ำโขงที่ไหลผ่านดินแดนไทย สามารถมาเที่ยวชมแก่งหินสามพันโบก ที่อ.เขมราฐ ชมความตระการตาของกลุ่มหินที่ทอดยาว เป็นคอนขนาดใหญ่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร ต่อจากนั้นเดินทางไปชมแหล่งอารยธรรมโบราณอีกแห่งที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ที่อยู่ในพื้นที่ของอ.โขงเจียม อ.ศรีเมือง ใหม่ อ.โพธิ์ไทร ที่ไม่ควรพลาดชมคือภาพเขียนสีที่ต่อกันยาวที่สุดในประเทศไทย

นอกจากนั้นยังมีจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งสามารถมองไกลไปถึงฝั่งลาวได้ พร้อมกับชมแสงอาทิตย์แรกของประเทศไทยได้โขงเจียม อำเภอทางด้าน ตะวันออกสุดที่จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อนใครๆ และย้อนรอยของแม่น้ำสองสีไหลมาบรรจบกัน ไปพิสูนน์ที่มาของคำว่า โขงสีปูน มูลสีคราม รวมถึงเป็นแหล่งของปลาแม่น้ำ โขงหลากสายพันธุ์ และตลาดขายส่งปลาแม่น้ำโขงที่ใหญ่ที่สุดในเขตอีสานใต้


ข้อมูลโดย : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เว็บไซต์ : www.เที่ยวอีสาน.com/ 
ที่มา : travel.thaiza.com

"หาดในหาน" เสน่ห์หาดสวยของจังหวัดภูเก็ต


"หาดในหาน" เป็นหาดที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต แม้ว่าจะเป็นหาดที่ไม่ยาวนัก แต่มีทรายที่ขาวสะอาดและมีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง โดยหาดนั้นอยู่ ถัดจากแหลมพรหมเทพขึ้นไปทางทิศเหนือ 

ส่วนด้านหลังของชายหาดเป็นบึง ชาวบ้านเรียกว่า หนองหาน ระหว่างทะเลและบึงมีเพียงหาดทรายของหาดในหานขวางกั้นอยู่เท่านั้น ในช่วงฤดูมรสุมระหว่างเดือนพฤษภาคมถึง เดือนตุลาคม หาดในหานจะมีคลื่นแรงมาก ไม่ควรลงเล่นน้ำเพราะอาจเกิดอันตรายได้ 

ข้อมูลโดย : กรมการท่องเที่ยว
ที่มา  : travel.thaiza.com

มหัศจรรย์หินซ้อนที่ "เกาะดง"


"เกาะดง" เป็นเกาะขนาดใหญ่อีกเกาะหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล อีกทั้งยังเป็นเกาะสุดท้ายในทะเลลึก ที่มีทิวทัศน์รอบๆเกาะที่ค่อนข้างสวยงามมาก เนื่องจากน้ำทะเลที่ค่อนข้างใส รวมไปถึงหาดทรายขาวเนียนละเอียดมากแห่งหนึ่ง 

โดยความโดดเด่นของเกาะนี้คือ รอบๆเกาะนั้นมีหินซ้อนขนาดใหญ่สองก้อนซ้อนกัน เหมือนจะหลุดจากกัน แต่ก็อยู่มาได้หลายร้อยปี ซึ่งสร้างความแปลกตาให้แก่นักท่องเที่ยวที่ได้พบเห็น และยังมีจุดดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามใต้ท้องทะเลรอบๆเกาะดงได้อีกด้วย 

ข้อมูลโดย : กรมการท่องเที่ยว
ที่มา  : travel.thaiza.com